ความคิดเห็นเรื่อง หลักศิลาจารึกหลักที่ 1

ที่มา เฟซ อาจารย์

รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล

เห็นมีบางท่านออกมาพูดจารึกหลักที่ 1 และมีคนตอบกลับไปว่าใช่หรือไม่ แต่ที่ตอบกลับไปนั้นเหมือนเอาคนบ้ามาโชว์จำอวด ผมจึงขอตอบบ้าง

จารึกหลักที่ 1 ทำในสมัยสุโขทัย(ส่วนหนึ่งของเอกสารประกอบการบรรยาย วิชาสุโขทัยศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์ ม.รามคำแหง)

ใน ปี พ.ศ. 2376 พระองค์ยังทรงสมณเพศ ขณะที่พระองค์เสด็จธุดงค์เมืองสุโขทัย ได้ทรงค้นพบหลักศิลาจารึก ที่คนในสมัยหลังสมมติเรียกว่า ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หรือที่บางครั้งเรียกว่า จารึกหลักที่ 1 ณ บริเวณเนินปราสาทกลางเมืองสุโขทัย ปัจจุบันศิลาจารึกหลักดังกล่าวจัดแสดงอยู่ที่พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงอ่านศิลาจารึกหลักนี้เพียงบางส่วน และต่อมาก็มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตหลายท่านได้อ่านต่อมา แต่อย่างไรก็ตามคำอ่านศิลาจารึกที่สมบูรณ์ได้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือประชุมศิลาจารึกภาคที่ 1 เมื่อ ปี พ.ศ. 2467

ต่อมาคงจะเป็นด้วยความก้าวหน้าเรื่องระบบแนวความคิด จึงทำให้ รศ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ ได้นำเสนอแนวความคิดว่า จารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักนี้ ไม่ใช่จารึกสมัยสุโขทัย หากแต่เป็นพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4

ในประเด็นนี้จริงๆ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่อย่างไรก็ตามต้องออกมาสรรเสริญ รศ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ ที่พยายามค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อมาพิสูจน์แนวความคิดของตนเอง เพราะรู้สึกว่า นักวิชาการทั้งหลายที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของ รศ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ ก็ไม่เคยมีใครที่จะมีค้นคว้าสืบหาหลักฐานได้เท่ากับของ รศ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ แต่ประการใด บางคนที่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ใช่ว่าจะเกิดการไตร่ตรองหรือศรัทธาในตัว รศ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ หากแต่กลัวว่าตนเองคิดแบบเดิมจะเป็นคนล้าสมัย หรือไม่ก็เพราะต้องการประจบผู้ใหญ่

เรื่องที่ รศ. ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ เสนอไว้ ท่านผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ในหนังสือ จารึกพ่อขุนรามคำแหง : การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ศิลปะ

หากแต่ในความเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียนกลับมองในประเด็นนี้ว่า

1. ในครั้งที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงพบจารึกหลักนี้ พระองค์ทรงพบพร้อมกับศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ของพระมหาธรรมราชาพญาลิไท ถ้าเกิดพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เนื้อความศิลาจารึกหลักนี้จริง เหตุใดเนื้อความที่ปรากฏในศิลาจารึกจึงไม่ข้อความใดที่ขัดแย้งกับเนื้อหาศิลาจารึกสุโขทัยหลักอื่น เช่นกรณีการปรากฏพระนาม พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และ เรื่อง พ่อขุนรามคำแหง เสวยราชย์ต่อจากพ่อขุนบานเมือง ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงได้ข้อมูลนี้มาได้อย่างไร ทั้งนี้เพราะข้อมูลเอกสารในสมัยของพระองค์ ไม่เอกสารชิ้นใดกล่าวถึงพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เลย และคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ก็กล่าวว่าพญารามราชเสวยราชย์ก่อนพญาบานเมือง

หากแต่ลำดับกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงในจารึกหลักที่ 1 กลับสอดคล้องกับ ลำดับกษัตริย์ในจารึกปู่ขุนจิดขุนจอด ซึ่งพบในรัชกาลปัจจุบัน

2. ประเด็นที่กล่าวว่าทำไมจารึกหลักนี้มีกล่าวถึง พ่อขุนรามคำแหงเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ซึ่งดูเหมือนผิดปกติ กว่าจารึกหลักอื่น ในจุดนี้ผู้เขียนกลับมองเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้เพราะจารึกโบราณที่พบในเขตประเทศไทยปัจจุบันก็มีการกล่าวถึงประวัติของผู้สั่งให้ทำจารึก ยกตัวอย่างเช่น จารึกพระเจ้ามเหนทรวรรมัน

ในขณะเดียวกันจารึกที่ร่วมสมัยกับจารึกหลักที่ 1 ก็มีการกล่าวถึงประวัติผู้สั่งให้ทำจารึก เช่น จารึกวัดป่ามะม่วง ของพระมหาธรรมราชาพญาลิไท จารึกวัดพระยืน ของพญากือนา เป็นต้น การกล่าวถึงประวัติผู้สั่งให้ทำจารึกเป็นเรื่องปกติมาก ทั้งนี้เพราะมันเป็นการอ้างสิทธิบางประการ

3. รูปแบบอักษรในศิลาจารึกหลักที่ 1 ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะคือ มีพยัญชนะและสระอยู่ในบรรทัดเดียวกัน ซึ่งดูเหมือนว่าจะผิดระบบอักขรวิธีการเขียนที่ปรากฏในจารึกสุโขทัย อีกทั้งได้มีการโยงสัมพันธ์กับรูปแบบอักษรอริยกะที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงประดิษฐ์ขึ้น

ในเรื่องอักขรวิธีการเขียนนี้ผู้เขียนกลับมองว่า ในจารึกวัดบางสนุก พบที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ เมื่อปี พ.ศ. 2484 ก็มีอักขวิธีและรูปแบบตัวอักษรเหมือนกับในศิลาจารึกหลักที่ 1 และก็เป็นไปไม่ได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเคยทอดพระเนตรจารึกหลักนี้

ประเด็นถัดมาถ้าเรานำรูปแบบอักษรในจารึกหลักที่ 1 มาเปรียบเทียบกับจารึกสมัยพระมหาธรรมพญาลิไท ก็จะพบว่ามีความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการ ครั้นจะบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเคยจารึกเหล่านี้ก็เป็นไปไม่ได้อีก เพราะจารึกสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท พบหลังจากพระองค์เสด็จสวรรคตไปนานแล้ว

อนึ่งรูปแบบอักษรอริยกะที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงประดิษฐ์นั้น ใช้สำหรับการเขียนภาษาบาลีซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีพยัญชนะตัวซ้อนเพื่อให้ทราบว่าตัวใดเป็นตัวสะกด ถ้าจารึกหลักที่ 1 เป็นของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 จริง ทำไมไม่มีระบบพยัญชนะตัวซ้อนในจารึกหลักนี้

4. ภาษาที่ใช้ในจารึกหลักที่ 1 แม้ว่าจะมีการเปรียบเทียบว่าคำบางคำจะเหมือนกับเอกสารในสมัยหลัง เรื่องก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประการใด เพราะเอกสารสมัยอยุธยาบางชิ้นก็มีคำบางคำเหมือนกับเอกสารสมัยรัตนโกสินทร์

อีกทั้งการที่ศัพท์และวลีบางวลีในจารึกหลักที่ 1 เหมือนกับจารึกหลักอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ จารึกสุโขทัย ยกเว้น แต่ จารึกวัดป่ามะม่วงภาษาเขมร เท่านั้น นอกนั้นพบหลังจากที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 สวรรคตไปแล้ว ถ้าศัพท์และวลีในจารึกหลักที่ 1 ไม่เหมือนกับจารึกหลักใดเลยนี่สิเรื่องแปลก

ถ้าเราจะยืนยันว่าจารึกหลักนี้เป็นของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 จริง ทำไมเราไม่เปรียบเทียบกับพระราชนิพนธ์ของพระองค์ซึ่งยังคงเหลือมาถึงปัจจุบันเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็พบว่าสำนวนภาษาในจารึกกับพระราชนิพนธ์ของพระองค์ไม่มีอะไรที่เหมือนกัน

อนึ่งในศิลาจารึกหลักนี้ ยังมีการใช้ ตัว “ฃ” “ฅ” ซึ่งนักภาษาศาสตร์ได้ตรวจพบว่า คำที่ใช้อักขระ 2 ตัวดังกล่าวเหมือนกับในภาษาไทขาว อันจะสะท้อนให้เห็นว่า ในสมัยนั้นเรายังสามารถแยกเสียง “ข” กับ “ฃ” และ “ค” กับ “ฅ” แต่ในสมัยรัชกาลที่ 4 เราไม่สามารถแยกเสียงของ “ข” กับ “ฃ” และ “ค” กับ “ฅ” ได้แล้ว แล้วรัชกาลที่ 4 ทรงนำข้อมูลนี้จากไหน

5. รูปทรงจารึกรวมถึงวิธีการจารของศิลาจารึกหลักที่ 1 ถ้าทำขึ้นในช่วงพ.ศ. 2375 – 2400 จริง เหตุใดจึงจารึกหลักนี้จึงเป็นหลักศิลา และ เส้นจารที่ใหญ่ ซึ่งผิดกับจารึกวัดพระเชตุพนฯ และวัดราชประดิษฐ์ที่เป็นแผ่นหินและเส้นจารที่เล็ก

6.การที่อ้างว่าเนื้อความบางท่อนในจารึกหลักที่ 1 เหมือนกับเนื้อความในคัมภีร์ทางศาสนา เช่น คัมภีร์โลกบัญญัติ เป็นต้น เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประการใด เพราะคัมภีร์ทางศาสนาที่อ้างนั้นล้วนก็มีอายุเก่ากว่าพ.ศ. 1800

แม้ว่าจะมีการเปรียบเทียบเรื่องพ่อขุนรามคำแหงแขวนกระดิ่งกับเรื่องพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ตั้งกลองพระวินิจฉัยเภรี เรื่องนี้ผู้เขียนก็จะบอกว่า ในคัมภีร์มหาวงศ์พงศาวดารลังกา ก็กล่าวว่าครั้งแผ่นพญาเอฬารทมิฬ การแขวนกระดิ่งให้ประชาชนมาสั่นร้องทุกข์เหมือนกัน

7. มีบางท่านเสนอว่า จากข้อความในบรรทัดที่ 19 – 21 ของด้านที่ 1 กล่าวว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทางเพื่อนจูงวัวไปค้า ใครจักใคร่ช้างค้า ใครจักใคร่ม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าค้าทองค้า” ว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเปิดการค้าเสรี เพราะผลของสัญญาเบาว์ริงค์

ในประเด็นนี้ผมจะบอกว่าถ้าจารึกหลักนี้ทำในสมัยที่พระองค์ทรงอยู่ในสมณเพศ ครั้งนั้นเรายังผูกขาดทางค้า แล้วพระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าอนาคตข้างหน้า อังกฤษจะมาทำสัญญากับสยามจนต้องมีการค้าเสรี และพระองค์จะทรงทราบได้อย่างไรว่าพระองค์จะได้เสวยราชสมบัติ

ปัญหาเรื่องการผูกขาดการค้าเพราะระบบพระคลังสินค้านั้น เพิ่งจะมีขึ้นในสมัยพระเจ้าอยู่หัวปราสาททองเท่านั้น ที่สำคัญถ้าข้อความดังกล่าวว่าสะท้อนการค้าเสรีจริง แล้วจะวินิจฉัยข้อความในบรรทัดที่ 32 ด้านที่ 2 ของจารึกนครชุม ของพระมหาธรรมราชาพญาลิไท ที่ว่า “ไพร่ฟ้าข้าไทย ขี่เรือไปค้าขี่ม้าไปขาย…….งต้องใจมิได้เพื่อด้วยอำนาจแก่” ว่าเป็นการค้าเสรีด้วยไหม

อนึ่งในมาตราที่ 62 ของพระอัยการผัวเมียก็มีการกล่าวถึงการเดินทางไปค้าขายถึงเชียงใหม่ ไปเมืองจีน ดังนั้นกับแค่จูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขายจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประการใด

8. มีการกล่าวอ้างว่า พระแท่นมนังคศิลาบาตรที่พบพร้อมกับศิลาจารึกหลักที่ 1 มีลวดลายสลักที่ค่อนข้างใหม่ ในประเด็นผมไม่เวลาศึกษาแล้วสรุปว่าลวดลายจะเก่าหรือใหม่ แต่จะถามว่าเมืองสุโขทัยมันก็ไม่ใช่ว่าจะหมดความสำคัญหลังรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง ดังนั้นกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่เนินปราสาทก็ยังคงมีสืบต่อมา ดังนั้นพระแท่นมนังคศิลาบาตรองค์นี้ก็อาจจะไม่ใช่เป็นของพ่อขุนรามคำแหงก็ได้ ที่สำคัญในจารึกหลักที่ 1 ก็ไม่บอกว่าพระแท่นมนังคศิลาคือ แท่นไหน ใช่แท่นนี้หรือก็ไม่รู้

9. การที่กล่าวว่า พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 แปลจารึกพระราชทาน เบาว์ริงค์ เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่า สยามประเทศมีอารยธรรมที่เก่าแก่ เพื่อไม่ให้ตะวันตกอ้างสิทธิการยึดครอง เรื่องนี้ขอถามย้อนกลับไปว่า ประเทศจีนมีอารยธรรมที่เก่าแก่มาก ตะวันตกก็ไม่เห็นกลัวเกรงอะไร พระเจ้าเสียนฝงฮ่องเต้ยังต้องหนีกองทัพตะวันตก แบบไม่คิดชีวิต อินเดียเก่าแก่ถึงราชวงศ์โมริยะอังกฤษก็ยังยึดครองได้ แล้วจะภาษาอะไรกับจารึกที่บอกว่าสยามประเทศเก่าเพียง 700 ปีเท่านั้น

ที่สำคัญถ้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงพระราชนิพนธ์จารึกหลักนี้จริง ทำไมพระองค์จึงไม่อ่านจารึกหลักให้หมด และเมื่อพระองค์ทรงเล่าพระราชประวัติปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรีว่ามีความสัมพันธ์กับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แล้วทำไมพระองค์จึงไม่ทรงทำจารึกสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือไม่พระองค์ไม่ทำจารึกของพระอุตตรเถระและพระโสณเถระเพื่อให้รับกับข้อพระวินิจฉัยเรื่องพระเจ้าอโศกส่งสมณฑูตมายังดินแดนสยาม

ถ้าทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้ จะมีท่านใดตอบว่า พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นหมดแล้ว และนำหลักฐานไปฝังไว้ เรื่องก็จนใจ ให้ท่านผู้อ่านตัดสินเองเถิด หรือว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเป็นจอมปราชญ์ ถ้าอย่างนั้นก็ควรถวายรางวัลโนเบล ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาประวัติศาสตร์ จารึก ภาษาศาสตร์ แต่พระองค์จะทรงมีเวลาว่างพออย่างนั้นหรือ

ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาก็สุดแล้ววิจารณญาณของท่านผู้อ่านละกัน

 

Posted in Uncategorized | Leave a comment

ศีล 5 กราบ และบาป 5 แก่น ของค้าปลีก โดย คุณ Parin Parinest Songpracha

่ที่มา

ศีล 5 กราบ และบาป 5 แก่น ของค้าปลีก
มีเพียงข้อเดียว ธุรกิจก็ตายได้
.
ออกตัวเลยว่า…ผมครูพักลักจำมา
ไม่ได้เก่งแม้แต่น้อย
…ถามมากกว่านี้…ผมก็ตอบไม่ได้
.
.
เขียนยาวน่ามคาน…ไม่ได้มีกิจการก็ไม่ต้องอ่านก็ได้
.
.
วันนี้ เพื่อนอินเดีย บินมากินข้าวด้วยกัน
เธอกำลังจะเริ่มธุรกิจ…ของกินเล่น
เลยขอความรู้ขำๆ จากผม บนโต๊ะอาหาร
แต่จบลงด้วยการ “จด” อย่างจริงจัง
เลยคิดว่า…เอามาเล่าให้ฟังน่าจะดี
ฉลองปีอธิกสุรทิน 29 กุมภาด้วย
.
.
ออกตัวอีกที่…ว่าผมลอกอาจารย์มาหลายคน
เจอมาเองบ้างงง…แต่ไม่ได้คิดสิ่งนี้เอง
.
.
“บาป 5 แก่น“ ได้แก่
.
.
หนึ่ง
…มีจำนวนสินค้าเยอะเกินมือ
ร้านอาหารที่รวย คือ
ร้านที่ทำ “อย่างเดียว” แต่อร่อยสุดๆ กว่าคนอื่นๆ
มิใช่ร้าน “ตามสั่ง” ทำได้ทุกอย่าง แต่รสชาติพื้นๆ
ทำอย่างเดียวจนเก่ง แล้วค่อยหาอย่างอื่นมาต่อยอด
.
หาสินค้า หรือกลยุทธ์ชัดๆ ให้เจอ
แล้วโฟกัสกับมัน
อย่าพยายามขาย “ทุกอย่าง”
ในตอนแรก
เพราะมันเกินความสามารถ
ทำอะไรไม่ดีสักอย่าง ลูกค้าก็ไม่ติดใจ
.
.
สอง
…80/20 เสมอ
ในธุรกิจค้าปลีก ถ้าสินค้าไม่ได้เปลี่ยนรุ่นเรื่อยๆ
เช่น หนังสือ หรือสินค้าไอที
หรือ แฟชั่นที่มีคอลเลคชั่น
ยอดขาย จะเป็น 80/20 เสมอ
คือ สินค้าขายดี 20% เท่านั้น ที่ทำยอดขายได้ 80%
หา 20% นี่แหละ คีย์สำคัญของข้อ 1
ถ้ายอดขายยังไม่เป็นรูป 80/20 แสดงว่า
1. ยอดขายมีจำนวนยังไม่มากพอ
2. คุณบริหารสินค้าขายดียังไม่ถึง
(ไป Google “Pareto 80/20”)
.
.
สาม
“เครดิตเทอม” ธุรกิจในอุดมคติ คือ
“ขายออกเป็นเงินสด แต่ซื้อมาเป็นเงินเชื่อ”
ถ้าตรงข้ามจากนี้
สินค้าคุณต้องมีกำไรงามมากๆ และ/หรือ
หมุนเร็วมากๆ มิเช่นนั้น
จะ “ขายดี จนเจ๊ง”
.
.
สี่
พอสิ้นเดือน…ไม่รู้มูลค่าสต็อก
พ่อค้า แม่ค้า มีจรรยาบรรณลึกๆ อยู่ข้อนึง
คือ…ถ้าลูกค้าถามมา…ต้องหาให้ได้
ซึ่ง “ผิด” ขัดกับข้อ 1 และ 2
ถ้าพยายามหาสินค้าที่ลูกค้าถามหา “ทุกตัว”
คุณจะจบลงที่ ของบานเบอะ
สต็อกยุ่งเหยิง หาไม่เจอ ไม่รู้มูลค่า
ของขายดีขาดมือ แต่ของ Death Stock มีอื้อ
เงินจมลงของเก่า…เอาของใหม่เข้าไม่ได้
.
.
ห้า
สินค้า Shelf life สั้นกว่ากำไร
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้…ถ้าไม่เคยผ่านสินค้าอายุสั้น
คือ ห้างค้าปลีกทั้งหมด
อยากได้สินค้าใหม่ที่สุดเท่าที่จะหาได้
เขาจะเอาสินค้าคุณไปวางลองขาย 3 เดือน
ขายออกจ่ายเงิน ขายไม่ออกคืนของ
เรียกว่า Consignment
.
.
ถ้าสินค้าอยู่ได้แค่ 8 เดือน (แล้วจะเสีย)
และกำไรขั้นต้นน้อยกว่า 37% (3/8)
คุณเจ๊งง่ายๆ เลย เพราะของวนคืนกลับมา
คุณก็ระบายไปช่องทางรองๆ ไม่ได้แล้ว
Shelf Life สินค้า “ยิ่งนาน ยิ่งดี”
.
.
.
ศีล 5 กราบ
ได้ฟังจากคุณ
Oweera Chearanaipanit)
ในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง
5 ข้อนี้…ถ้าสักที่แขนได้
ผมคงสักไปแล้ว…

หก
ไม่รู้จักลูกค้า
หา??? ต้องให้อธิบายอีกเร้อออ
.
.
เจ็ด เจ็ด เจ็ด
ไม่บริหารเงินสด
ไม่ทำบัญชี ไม่รู้เดินบัญชี
เงินไหลเข้าไม่บอก เงินไหลออกไม่รู้ (จดๆๆ)
นี่ไม่ต้องนับโดนโกง แต่ขายดีๆ หมุนเงินไม่ทัน
ก็ขายดี จนเจ๊ง เหมือนกัน
.
.
แปด
ไม่สนใจเทคโนโลยีในวงการ
ตายดังก็เยอะ
กล้องดิจิตัลกับโกดัก
ซิมเบียนกับโนเกีย
ออนไลน์กับวอลมาร์ท
ตายเงียบยิ่งเยอะกว่า
.
.
เก้า
ไม่สร้างเครือข่ายธุรกิจ
คิดว่าตัวเอง “เก่ง” คนเดียว
คนฉลาดคนเดียว
…สู้คนโง่ที่เดินทาง…และ
…คนโง่ที่มีเพื่อนฝูง…ไม่ได้
.
.
สิบ
ทน “อด” ไม่ได้
ไม่ได้หมายถึงอดข้าว
แต่ “อดเปรี๊ยวไว้กินหวาน” ไม่เป็น
ชอบคว้าเงินก้อนอยู่ตรงหน้า มากกว่ากินไปยาวๆ
.
.
จะเล่านิทานให้ฟัง
เรื่องจริงคาจอ…แบรนด์ดังที่ตายต่อหน้า
.
.
สินค้าเครื่องสำอางเจ้าดังใน IG
ขายดิบขายดี จนเว็บเราไปเอามาขาย
และปั้นจนดังและน่าเชื่อถือ
จนเขาไปซื้อโฆษณาในบิลบอร์ดได้
.
.
พอเริ่มรุ่ง…ก็เริ่มโลภ
ขายตัดล็อตใหญ่ไปให้เว็บ “L”
ได้เงินก้อนใหญ่…ฉลาด…และเร็ว
พอได้ของไป…เว็บ “L” ตัดกำไร…ขายลดราคา
อยากขายตัดหน้าเว็บผม
.
.
ทำได้ไม่นาน เว็บ “L” เริ่มขาย “ขาดทุน”
เพราะซื้อมาเยอะ ต้องรีบระบาย
กลายเป็นว่า แม่ค้าที่สยาม แม่ค้า IG
แห่ไปซื้อจากเว็บ “L” มาขาย
กำไร 20 บาทก็เอา
ในตลาดเริ่มดั้มพ์ราคาแข่งกับเว็บ “L”
ใครไม่ดั้มป์ อาจจะแบกสต็อก เพราะลูกค้าไปซื้อเจ้าอื่น
.
.
เจ้าของโกรธจัด
ราวกับแบรนด์โดนย่ำยีพรหมจรรย์
(ก็เสือกโลภ อยากรีบหาสามีดีๆ ในผับไงล่ะ)
ประกาศกลางเฟสตัวเอง
“เลิกขาย”กับ เว็บ “L” เด็ดขาด
.
.
.
แต่ไม่ทันแล้ว…
สินค้าระดับเจ้าหญิง ตอนเปิดตัว 899.-
เลยขายได้ ราคาผีขนุน 349.-
สร้างแบรนด์มา 14 เดือน และตายจากไปใน 60 วัน
นี่เป็นเรื่องจริง…ของคนที่ “ทนอด” ไม่เป็น
ได้เงินก้อนใหญ่…ฉลาด…และเร็ว
คือ ฉลาดนิดเดียว…แต่ตายเร็วจริงๆ
พูดแล้วก็แอบสะใจอยู่

สรุปให้สั้นๆ อีกที
1. จับ “สินค้าหลัก” ให้ได้ก่อนค่อยขยาย
2. บริหารด้วย 80/20
3. อย่าลืมเรื่องเครดิตเทอม
4. สิ้นเดือนรู้ต้องสต็อกในมือ
5. ระวังของอายุสั้นกว่า 1 ปี
6. รู้จักลูกค้าให้ดี
7. เงินเข้าต้องบอก เงินออกต้องรู้
8. หูไวตาไว อยู่ใกล้เทคโนโลยีของวงการ
9. หาเพื่อนห่างๆ เอาไว้เยอะๆ
10. อดเปรี๊ยวไว้กินหวาน

เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ไม่ได้แตะ คือ “ทำเล”
แต่ผมเองก็ไม่เก่งเรื่องนี้
ไม่พูดดีกว่า ขอจบห้วนๆ
เพราะแค่นี้ก็จำกันไม่หมดแล้ว

Posted in Uncategorized | Leave a comment

คำแปลปรัชญปารมิตาสูตรฉบับของหลวงปู่ทิก เญิ้ต หั่ญ (Thích Nhất Hạnh) โดย กรกิจ ดิษฐาน

ที่มา https://www.facebook.com/kornkitd/posts/10153164705406954

ปัญญาบารมีซึ่งนำพาเราข้ามพ้นทุกข์

พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ขณะพิจารณาปัญญาบารมีซึ่งพาข้ามพ้นทุกข์
ทันใดนั้นท่านพบว่า
ขันธ์ห้านั้นว่างเปล่าดุจเดียวกัน
เมื่อรู้แจ้งจึงแล้ว
ท่านจึงข้ามพ้นทุกข์ทั้งปวง

ท่านสารีบุตรโปรดฟัง
รูปร่างนี้ว่างเปล่า
ความว่างเปล่าก็คือรูปร่าง
ความว่างเปล่าไม่ต่างจากรูปร่าง
เช่นเดียวกับความรู้สึก
ความทรงจำ การปรุงแต่งของใจ
และความรู้ในอารมณ์

ท่านสารีบุตรโปรดฟัง
ปรากฎการณ์ต่างๆ แสดงถึงลักษณะของความว่างเปล่า
เนื้อแท้ของปรากฎการณ์คือ
การไม่เกิด ไม่ตาย
ไม่ดำรงอยู่ ไม่สูญหาย
ไม่แปดเปื้อน ไม่บริสุทธิ์
ไม่เพิ่ม ไม่ลด

ด้วยเหตุนี้ ในความว่างเปล่า
รูปร่าง ความรู้สึก
ความทรงจำ การปรุงแต่งของใจ
และความรู้ในอารมณ์
จึงไม่แยกเป็นเอกเทศจากกัน

เหตุปัจจัยแห่งการเกิดดับ
ก็ไม่ได้แยกออกจากกัน
ทุกข์ เหตุแห่งทกข์
การดับทุกข์ และวิถีดับทุกข์
การรู้แจ้ง และเกิดปัญญา
ก็ไม่ได้แยกออกจากกัน

พระโพธิสัตว์ผู้พิจารณา
ปัญญาบารมีซึ่งพาข้ามพ้นทุกข์
ไม่พบความขุ่นข้องใจ
เพราะไร้ซึ่งความขุ่นข้องใจ
ท่านสามารถเอาชนะความกลัว
ทำลายความเห็นผิด
และบรรลุถึงความสงบสูงสุด

“พระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ต่างพิจารณา
ปัญญาบารมีซึ่งนำพาเราข้ามพ้นทุกข์
ล้วนแต่สามารถเข้าถึงความรู้แจ้งสมบูรณ์สูงสุด

ด้วยเหตุนี้ท่านสารีบุตร
ควรทราบไว้ว่า
ปัญญาบารมีซึ่งพาข้ามพ้นทุกข์
คือมนตราอันยิ่งใหญ่
เป็นมนตราที่แจ่มแจ้ง
มนต์ที่สูงส่ง
มนต์ที่ไม่อาจเทียบได้
ปัญญาญาณที่มีอำนาจ
ให้สิ้นสุดทุกข์ทั้งหลายได้
ดังนั้น ขอให้เราสวด
มนต์ซึ่งสรรเสริญ
ปัญญาบารมีซึ่งพาข้ามพ้นทุกข์

คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา!
คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา!
คะเต คะเต ปาระคะเต ปาระสังคะเต โพธิ สวาหา!

(ไป, ไป ไปเลยไป ข้ามไปให้พ้น ถึงฝั่งแห่งความรู้แจ้ง เฮ!)

////////////////////////////

*หมายเหตุ
๑. คำว่าปัญญาบารมี หลวงปู่ทิก เญิ้ต หั่ญ แปลอิงกับสุตตนิบาตว่า “ข้ามไปอีกฝั่ง” หมายถึงข้ามฝั่งสังสารวัฏ หรือโอฆสงสาร การจะข้ามฝั่งแห่งทุกข์ต้องอาศัยปัญญาคือการรู้แจ้งในไตรลักษณ์ และบารมี มีทานบารมี ศีลบารมี เมตตาบารมีเป็นต้น

๒. ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในฉบับนี้แปลคำยากๆ เหล่านี้เป็น รูปร่าง (รูป) ความรู้สึก (เวทนา) ความทรงจำ (สัญญา) การปรุงแต่งของใจ (สังขาร) และความรู้ในอารมณ์ (วิญญาณ)

๓. เหตุปัจจัยแห่งการเกิดดับ คือปฏิจจสมุปบาท

๔. ความรู้แจ้งสมบูรณ์สูงสุด หมายถึง สัมมาสัมโพธิญาณ

๕. คาถาท้ายบทนี้หลวงปู่ท่านไม่แปล แต่ผมถือวิสาสะแปลประกอบในวงเล็บ หลวปู่ท่านวิจารณ์ว่า คาถานี้แต่งขึ้นเพื่อให้ฝ่ายนิกายตันตระได้ภาวนา ซึ่งเป็นอุบายในการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เพราะคำว่า ปาระสังคะเต (ไปให้ถึงฝั่ง) มีความนัยเดียวกับ ปัญญาบารมี

////////////////////////////

***ผมลองแปลปรัชญปารมิตาสูตรฉบับของหลวงปู่ทิก เญิ้ต หั่ญ (Thích Nhất Hạnh) ซึ่งท่านปรับปรุงใหม่ คือทำให้อ่านง่ายขึ้น ปรับปรุงส่วนที่ท่านเห็นว่าสับสน ตั้งแต่สมัยที่พระสูตรนี้เรียบเรียงขึ้นมาโดยพระเถระในนิกายสรวาสติวาท คำแปลนี้ผมแปลจากภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลจากภาษเวียดนาม/จีน/สันสกฤตอีกทอด ฉบับแปลอังกฤษใช้ภาษที่เรียบง่าย ตรงถึงใจ อันเป็นแนวทางคำสอนของหลวงปู่ ผมพยายามรักษาแนวทางนั้นไว้ และคิดว่าต่อไปจะลองแปลพระสูตรให้อ่านง่ายขึ้น โดยแปลศัพท์เฉพาะเป็นภาษาสามัญ แม้จะเสียอรรถรสด้านอักษรศาสตร์ แต่น่าจะช่วยให้ผู้อ่านร่วมสมัยเข้าใจเรื่องยากๆ ได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ผมยังถอดคำอ่านปรัชญาปารมิตาสูตรในสำเนียงเวียดนามไว้ด้วยสำหรับผู้สนใจ

////////////////////////////

“มา ฮา บ้าต ญ๋า บา ลา เมิ่ต ดา เติม กิง”

กว้าน ตื่อ ไต่ โบ่ ตั๊ต ห่าง เถิม บ้าต ญ๋า บา ลา เมิ่ต ดา เถิ่ย เจี๋ยว เกี๋ยน หงู เหวิน ยาย โคง โด่ เญิ้ต เที้ยต โค๋ อั้จ

ซ้า เหล่ย ตื๋อ ซั้ก เบิ้ต ยิ่ คง คง เบิ้ต ยิ่ ซั๊ก ซั้ก ตื้ก ถิ คง คง ตื้ก ถิ ซั้ก ถ่อ เตื๋อง ห่าง ทื้ก เหยียก ฝุก ญือ ถิ

ซ้า เหล่ย ตื๋อ! ถิ จือ ฟ้าป คง เตื๋อง เบิ้ต ซิง เบิ้ต เยี่ยต เบิ้ต เกิ้ว เบิ้ต ติ่ง เบิ้ต ตั่ง เบิ้ต หยาม ถิ โก้ คง จุง โว ซั้ก โว ถ่อ เตื๋อง ฮ่าง ถึ๊ก โว ญ่าน ญี๊ ตี๋ เถียต เทิน อี้ โว ซั้ก ทาง เฮือง ยิ่ ซุก ฟ้าป โว ญ่าน เย้ย ไหน่ จี้ โว อี้ ถื้ก เย้ย โว โว มิง เยี่ยก โว โว มิง เติ่น

ไหน่ จี้ โว หลาว ตื๋อ เยี่ยก โว หลาว ตื๋อ เติ่น โว โค๋ เติ่ป เหยี่ยก ด่าว โว จี้ เยี่ยก โว ดั้ก ยี๋ โว เสอ ดั้ก โก้ โบ่ เด่ ตั้ต ดว๋า อี บ้าต ญ๋า บา ลา เมิ่ต ดา โก้ เติม โว กว้าย หง่าย โว กว้าย หง่าย โก้ โว หืว คุ๋ง โบ้ เวี๋ยน ลี เดียน ด๋าว โหม่ง เตื๋อง กื้ว ก้าง เนี้ยต บ่าน ตาม เท้ จือ เฟิ่ต อี บ้าต ญ๋า บา ลา เมิ่ต ดา โก้ ดั๊ก อา เหน่า ดา ลา ตัม เมี่ยว ตัม โบ่ เด่

โก้ จี บ้าต ญ๋า บา ลา เมิ่ต ดา ถิ ด่าย เถิ่น จู้ ถิ ด่าย มิง จู้ ถิ โว เถื่อง จู้ ถิ โว ดั๋ง ดั๋ง จู้ นัง จื่อ เญิ้ต เที้ยต โค๋ เจิน เถิ่ต เบิ้ต ฮือ โก้ เทวี๊ยต บ้าต ญ๋า บา ลา เมิ่ต ดา จู้ ตึ้ก เทวี๊ยต จู้ เวี้ย

เย้ต เด้ เย้ต เด้ บา ลา เย้ต เด้ บา ลา ตัง เย้ต เด้ โบ่ เด่ ตั้ต บ่า ฮา

เย้ต เด้ เย้ต เด้ บา ลา เย้ต เด้ บา ลา ตัง เย้ต เด้ โบ่ เด่ ตั้ต บ่า ฮา

เย้ต เด้ เย้ต เด้ บา ลา เย้ต เด้ บา ลา ตัง เย้ต เด้ โบ่ เด่ ตั้ต บ่า ฮา

**Ma Ha Bát Nhã Ba La Mật Đa Tâm Kinh
https://www.youtube.com/watch?v=uTc63LAXq7c

Posted in Uncategorized | Leave a comment

วิธี เจริญสติปัฏฐาน ด้วยฐานจิต

ถอดจากเทป โดย https://www.facebook.com/photo.php?fbid=966127580095345&set=a.845846942123410.1073741828.100000943355436&type=1

.หัดเจริญสติปัฏฐานให้ได้สติให้ได้ปัญญา…
ขั้นแรกทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง…ต้องทำ
ถ้าอยากได้มรรคผลนิพพานแล้วไม่ทำอะไรเลย
ไม่ได้กินหรอก กิเลสมันไม่ยอมเราง่ายๆนะ

ต้องอดทนต้องต่อสู้ อยากได้ของดี ต้องทำ
อยากจะพ้นทุกข์ต้องทำ

มันเรื่องอะไร…
พวกเราได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว
จะต้องปล่อยชีวิตนะให้เป็นไปตามยถากรรม…
เหมือนสัตว์โลกที่ไม่เคยได้ยินธรรมะ

สัตว์โลกที่ไม่ได้ยินธรรมะ
มันโตขึ้นมาหาอยู่หากิน
มีลูกมีเมียออกลูกออกหลานไป
แล้วก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตายไป
ชีวิตเราต้องการแค่นั้นเหรอ..?
ต่ำต้อยขนาดนั้นเหรอ..?

งั้นเรามีโอกาส เรามีบุญวาสนานะ
ถือว่ามีบุญมากนะ…
คนที่ได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้ๆเนี่ย

เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว
เราต้องลงมือทำกรรมฐานนะ
… .. … .. … .. … ..

ถือศีล ๕ ไว้ก่อน
แล้วก็ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
เป็นเครื่องอยู่ของจิต มีเครื่องอยู่ของจิต
อย่างหลวงพ่อตอนเด็กๆนะ ใช้ลมหายใจ
เวลาจะทำความสงบนะใช้ลมหายใจ

แต่ตอนที่มาเจอหลวงปู่ดูลย์ มาเจริญปัญญาเนี่ย
หลวงพ่อใช้จิตตานุปัสนา ดูความรู้สึกของจิต
จิตดีก็รู้จิตชั่วก็รู้ คอยดูอย่างนี้นะ หัดดูไปเรื่อย

สุดท้ายปัญญามันจะเกิดนะ
มันจะเห็นเลย ทุกอย่างมันไม่ใช่เรา
ทุกอย่างมันไม่ใช่เรา ตัวเราไม่มี นี่เป็นปัญญาขั้นต้นนะ

ปัญญาขั้นสูงสุดก็คือ…
เมื่อตัวเราไม่มีแล้ว อะไรมีอยู่ ” ก็ทุกข์มีอยู่”
ขันธ์ ๕ นี้ คือตัวทุกข์

ทุกข์มีแต่ไม่มีเจ้าของ เพราะไม่มีเรานะ
ขันธ์มันทำงานไม่ใช่เราทำงาน
มันสักแต่ว่าทำงาน
พอว่าจิตไม่เข้าไปทำด้วยนะ
มันจะเป็นว่าขันธ์ทำงานอย่างเดียว
เค้าเรียกว่า เป็นแค่กิริยาของขันธ์
เป็นแค่กิริยาของขันธ์กิริยาของจิตที่ทำงาน
แต่ไม่มีการกระทำกรรม
มีการทำงานนะ แต่ไม่ใช่การกระทำกรรม
เพราะไม่มีโลภะเจตนาใดๆ เข้าไปเจือเลยนะ

เนี่ยต้องค่อยๆฝึกนะ กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ต้องสู้แหละ
ก็ต้องสู้กันหลายปีแหละ
ยกเว้นคนที่มีบุญมากๆนะ
มีบุญมากๆอย่างบางท่าน
อย่างหลวงปู่บุดดา
หลวงปู่บุดดาภาวนาอยู่ ๓ พรรษาเอง ก็ไม่ทุกข์แล้ว
บางองค์ก็ภาวนาอยู่สิบกว่าพรรษา …๑๖ พรรษา
บางองค์ก็ภาวนาอยู่ไม่กี่เดือน
อย่างหลวงปู่ดูลย์เนี่ย ใช้เวลาสั้นมากเลย
เพราะอะไร..?
แต่ล่ะคนสะสมมาไม่เท่ากัน

บางคนเคยสะสมที่จะฝึกสติมา สติก็เกิดเร็ว
บางคนเคยฝึกจิตให้ตั้งมั่นด้วย มีสติด้วย
จิตก็ตั้งมั่นเร็ว
บางคนเคยฝึกแยกธาตุแยกขันธ์เจริญปัญญานะ
มันก็เจริญปัญญาเร็วนะ
ถ้าบารมีแก่กล้าพอ มรรคผลก็จะเกิดขึ้น
… .. … .. … .. … .. … ..

มีกรรมฐานที่ง่ายๆอยู่อันหนึ่ง
ที่อยากให้พวกเราเรียน
มันเป็นกรรมฐานที่เหมาะกับคนในรุ่นเรา
คือพวกคิดมาก พวกสมาธิน้อย
พวกเราเคยได้ยินคำว่าสมาธิสั้นมั๊ย
สมาธิสั้นเคยได้ยินมั๊ย…
เนี่ยคนที่ใช้ประโยคนี้ ไม่เคยรู้ความจริง
เพราะสมาธิก็เกิดทีละขณะจิตนะ
สั้นเท่ากันทุกคนแหละ
เพียงแต่ว่าบางคนนะมันเกิดซ้ำๆๆได้เยอะ
ของเรามันซ้ำๆได้ ๗ ขณะนะ
แล้วมันก็ฟุ้งซ่านหายไปอีกนานเลย
แล้วค่อยรู้สึกอีก๗ ขณะ

ของคนที่เค้าฝึกจิตฝึกใจมาดีนะ
ก็จะต่อด้วย ๗ ขณะ
ต่อด้วย ๗ ขณะ…แล้วต่อของเค้าไปเรื่อย
สมาธิก็ยาว ก็อยู่ที่ฝึกเอา
ของฟรีไม่มี ของดีต้องทำเอา

กรรมฐานที่ง่ายๆนะ
เหมาะกับคนที่ฟุ้งซ่านแบบพวกเราเนี่ย
คือการรู้ทันจิตใจของตัวเอง
หลวงพ่อสอนมาหนักหนาแล้วนะ
การดูจิตใจ ถ้าจิตเรามีกิเลสแล้ว เรารู้ทันนะ
กิเลสจะครอบงำจิตไม่ได้
ศีลอัตโนมัติจะเกิดขึ้น
ถ้าจิตมันหนีไปคิดเรารู้ทัน
จิตมันเคลื่อนไป ไหลไปคิดหรือไหลไปเพ่ง
เรารู้ทัน จิตที่ตั้งมั่นก็จะเกิดขึ้น
คือสมาธิที่ถูกต้อง ก็จะเกิดขึ้น

แล้วเราก็จะเห็น
อย่างสมมติเราฝึกกรรมฐานสักอย่างหนึ่งนะ
พุทโธไปๆ หรือหายใจไปแล้วคอยรู้ทันจิต
จิตหนีไปเรารู้ จิตเคลื่อนไปเรารู้เนี่ย
ฝึกอยู่แค่นี้ไม่ต้องทำอะไรมากนะ
จิตหนีไปรู้ จิตเคลื่อนไปรู้เนี่ย
รับรองว่าไม่ผิดศีล

เพราะคนที่จะเกิดกิเลสได้นะ
จิตต้องเคลื่อนไปก่อน
ถ้าจิตเคลื่อนก็รู้ จิตมีโมหะขึ้นมาเราก็รู้แล้วนะ
กิเลสไม่มี กิเลสอื่นๆที่หยาบๆนะ เกิดขึ้นไม่ได้เลย
แต่โมหะนี้เคลื่อนกริ๊กๆๆเนี่ย
เมื่อกิเลสหยาบไม่เกิด
ศีลมันมีเอง ถือศีลเนี่ยง่าย

จิตเคลื่อนเรารู้ๆ เราได้สมาธินะ
แค่รู้จิตเคลื่อนเองนะ จะได้ทั้งศีลได้ทั้งสมาธิ
ต่อไปฝึกต่อ เห็นดูมันเคลื่อนเอง
เอ๊ะ!…มันเคลื่อนได้เอง จิตเคลื่อนได้เอง
จิตรู้ทันว่าเคลื่อน ก็รู้ได้เอง
พอรู้ทันว่าเคลื่อนแล้ว ก็ตั้งมั่นได้เอง
จิตนี้เป็นเอง จิตนี้เป็นอนัตตา ” นี่คือตัวปัญญา”

เพราะฉะนั้นการที่เราทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งนะ
แล้วคอยรู้ทันจิตที่เคลื่อน อย่าไปบังคับให้นิ่ง
ให้รู้ทันจิตที่เคลื่อนนะ
ศีลสมาธิปัญญาจะเกิดขึ้นทั้งหมดเลย
ไม่ยากอะไรเลยนะ
… .. … .. … .. … ..

นี่หลวงพ่อไปเจอที่…
#หลวงตามหาบัวท่านสอนไว้นะ
นี่อุส่าไปนั่งจดมา…
ท่านบอกว่า…
#อาการของจิตทุกอาการที่เกิดขึ้น
#ต้องดับและแปรปรวน
#อย่าตื่นเงาของจิตตัวเอง #จะเดือดร้อน
#ความรู้ว่าเผลอและไม่เผลอ
#เป็นทางที่ถูกต้องแล้ว

เห็นมั๊ย…รู้ว่าเผลอ พอรู้ว่าเผลอปุ๊บก็ไม่เผลอ
อาการของจิตทุกอาการ
ที่เกิดขึ้นต้องดับและแปรปรวน
เช่นโลภ/โกรธ/หลง/สุข/ทุกข์ เกิดแล้วต้องดับ
มันแปรปรวน
จิตที่ตั้งมั่นเกิดแล้วก็ดับ จิตที่เคลื่อนเกิดแล้วก็ดับ
เนี่ยมันแปรปรวนเป็นอาการของจิต

#อย่าตื่นเงาของจิตตัวเองจะเดือดร้อน
คืออย่าไปวุ่นวายอย่าไปหลงกับอาการนะ

#ความรู้ว่าเผลอและไม่เผลอเป็นทางที่ถูกต้องแล้ว
#ความเสื่อมความเจริญเป็นอาการของโลก

เห็นมั๊ย ไม่ได้เอาเสื่อมไม่ได้เอาเจริญนะ
ไม่ใช่ว่าภาวนาแล้วทำยังไงจะเจริญนะ
แต่รู้เลย เสื่อมก็ยังงั้นแหละเจริญก็ยังงั้นแหละ
ทุกอย่างเกิดแล้วดับนะ
ความเสื่อมความเจริญเป็นอาการของโลก

#ให้รู้เท่า(ทัน) #ว่าผู้รู้ #เสื่อมหรือเจริญ
#นี่แหละเป็นธรรมที่คงที่

ใครเป็นคนรู้ว่าเสื่อมหรือเจริญ “จิตเป็นคนรู้”
พอเสื่อมจิตก็ยินร้าย ให้รู้ทันว่าจิตยินร้ายนะ
พอเจริญจิตยินดี รู้ว่าจิตยินดี

#ให้รู้เท่าว่าผู้รู้เสื่อมหรือเจริญ
#นี่แหละเป็นธรรมที่คงที่

#ความรู้เท่าทุกขณะนี้แลเป็นธรรมที่ยั่งยืน

#เราเป็นนักปฏิบัติ
#อย่าหลงตามอาการของความเสื่อมความเจริญ
#จงรู้ตามอาการ

เห็นมั๊ย…แค่ตามรู้อาการไม่ได้แทรกแซงมันนะ
มันเจริญก็รู้ /มันเสื่อมก็รู้/มันสุขก็รู้/มันทุกข์ก็รู้
มันดีก็รู้/มันชั่วก็รู้ แค่ตามรู้อาการของมันนะ
ไม่ได้ให้ไปแทรกแซงนะ

บอก จงรู้ตามอาการ
เห็นมั๊ย ใช้คำว่าตามเลยนะ
#จึงจัดว่าเป็นผู้ฉลาดในธรรม

อันนี้ท่านขยายความ ยกตัวอย่างบอก…
ดวงไฟยังมีดอกแสงมีสะเก็ดไฟ (ไฟที่ไหม้ฟืน)

#ดวงไฟยังมีดอกแสงควันไฟ

#ต้องแสดงความเกิดดับจากดวงไฟเป็นธรรมดา

เห็นมั๊ยสะเก็ดไฟออกมาแล้วก็ดับ
ควันออกมาแล้วก็ดับ

#จิตยังมีอาการเกิดเกิดดับดับซึ่งเกิดจากดวงจิต
#ต้องมีเช่นเดียวกัน

งั้นการเกิดดับไม่ใช่เพื่อไปแก้มันนะ
มันเป็นธรรมดามันต้องมี

#ข้อสำคัญอย่าหลงตาม
เสื่อมจงรู้ตาม เจริญจงตามรู้
เผลอหรือไม่เผลอ จงตามรู้ทุกอาการ
จึงจัดว่าเป็นความรู้เท่า(ทัน) ในอาการเกิดๆดับๆ
ของสิ่งเหล่านั้นด้วยปัญญาเสมอไป
นั่นแหละจัดว่าเป็นผู้รู้ จะรู้เท่าทันโลก
#และเรียนโลกจบ #จึงจะพบของจริง *

เห็นมั๊ยท่านสอนขนาดนี้เลยนะ
รู้จิตที่มัน หลงแล้วรู้ๆนี่นะ แล้วอย่าไปกลัว
บางช่วงมันรู้ได้เยอะ เจริญ
บางช่วงมันหลงเยอะก็เสื่อม อย่าไปตกใจ
อย่าไปตกใจกับความเจริญและความเสื่อม
อย่าไปตกใจกับความดีและความชั่ว
อย่าไปตกใจกับความสุขและความทุกข์
อย่าไปตกใจกับความสงบและความฟุ้งซ่าน

สิ่งที่เป็นคู่ๆอย่างนี้
เป็นอาการของจิตทั้งหมดเลยนะ
เป็นธรรมดาของโลกต้องเป็นอย่างนั้น
เราแค่ตามรู้ตามเห็นมันนะ
ด้วยใจที่ตั้งมั่นด้วยใจที่เป็นกลาง
นี่แหละเป็นทางที่จะออกจากโลกนะ

ท่านใช้คำนี้เลยว่า ” จะเรียนโลกจบ ”
จะเรียนโลกจบ ” จึงจะพบของจริง ”

เรียนโลกจบก็คือ
รู้แจ้งเห็นจริงนะว่ารูปนาม/ขันธ์ ๕ นี้ เป็นตัวทุกข์

ลำพังเห็นว่ารูปนาม/ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เราเนี่ย
ยังไม่จบนะ เป็นภูมิของพระโสดาบัน

ถ้าเรียนว่าร่างกายนี้เป็นตัวทุกข์
เป็นภูมิของพระอนาคาฯ

ถ้าเรียนรู้ว่าตัวจิตนี้แหละ คือตัวทุกข์
นี่คือภูมิของพระอรหันต์นะ
… .. … .. … .. … .. … ..

อะไรที่เรียกว่าโลก..?
รูปธรรมนามธรรมนี้แหละ
รูปโลกอรูปโลกนี้แหละ
คือตัวโลกนะ

ถ้าเรียนโลกจบ…
คำว่าโลกวิทูเคยได้ยินมั๊ย..?
โลกวิทูรู้แจ้งโลก…
รู้แจ้งโลก คือรู้แจ้งรูปนาม (ขันธ์ ๕)
สิ่งที่เรียกว่าโลก คือรูปกับนามนะ

ไม่ใช่โลกภูมิศาสตร์ดาวโน้นดาวนี้
อันนั้นของไม่สำคัญ อันนั้นเป็นโลกธรรมดา

โลกที่ชาวพุทธเราต้องเรียนเนี่ย
คือรูปธรรมนามธรรม
เราจะเรียนรู้โลกอันนี้ ถ้ารู้โลกแจ่มแจ้ง
จะรู้ว่าโลกนี้คือตัวทุกข์
รูปนามนี้คือตัวทุกข์ จิตจะวางรูปนามลง
จิตจะวางของจิตเอง ไม่มีใครสั่งจิตให้วางได้
(จิต)จะวางเองอัตโนมัติเลย

เมื่อจิตวางเองแล้วเนี่ย
ก็จะเข้ามาถึงคำสุดท้ายที่ท่านสอนบอกว่า
” จึงจะพบของจริง ”

* ของจริงนี้คือ พระนิพพาน *
เป็นของเที่ยงเป็นของสุข ไม่มีเจ้าของ

งั้นทำกรรมฐานนะ…
ถือศีล ๕ ไว้ก่อน แล้วทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่เพื่อสงบ/ไม่ใช่เพื่อสุข/ไม่ใช่เพื่อดี
ไม่ใช่เพื่อวิเศษอะไรทั้งสิ้น
” แต่เพื่อรู้ทันจิตที่มันหนีไป ”

จิตเคลื่อนไปเรารู้ อย่าไปห้าม…เคลื่อนแล้วรู้ๆ
บางวันรู้ได้มากก็เรียกว่าเจริญ…ก็อย่าไปหลงดีใจ
บางวันมันไม่ยอมรู้…จิตมันเป็นอนัตตา
มันไม่ยอมรู้ ฟุ้งแหลก…ก็อย่าไปเสียใจ
ให้รู้ไปอย่างที่มันเป็นนะ
สุดท้ายมันก็จะเห็นว่าเจริญได้ ก็เสื่อมได้
เสื่อมได้ก็เจริญได้
ความเสื่อมและความเจริญเนี่ย
เอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยอะไรไม่ได้

*…สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ความเจริญนะ
…เราต้องการให้จิตยอมรับความจริง…
ยอมรับความจริงว่า สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป *

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้มีแต่ทุกข์
…นอกจากทุกข์…
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น/ไม่มีอะไรตั้งอยู่/ไม่มีอะไรดับไป
ถ้าเห็นอย่างนี้ ถึงที่สุดแห่งทุกข์เลย

” เนี่ยวันนี้สอนให้จบหลักสูตรแล้วนะ
เพราะถึงนิพพานแล้ว ”

_/|\_ _/|\_ _/|\_

#หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

วัดสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

ไฟล์เสียง สวนสันติธรรม CD แผ่นที่ ๖๐
Flie : 580614 ธรรมเทศนาบางช่วง
ระหว่างนาทีที่ 13:35 — 26:11

Posted in Uncategorized | Leave a comment

ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ฉบับย่อ

โดย อ. Soraj Hongladarom

เมื่อวาน 14 กรกฎาเป็นวันชาติฝรั่งเศส เฉลิมฉลองวันทำลายคุกบาสตีย์ในกรุงปารีส ที่เป็นสัญลักษณ์การกดขี่ของระบอบเก่า เหตุการณ์ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ต่อเนื่องมาอีกหลายๆเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในยุโรป จากสังคมศักดินาชนชั้น มาเป็นสังคมอุตสาหกรรมประชาธิปไตย

ประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส

โบราณมากๆ – ชนเผ่ากอล สู้กับพวกโรมัน แล้วโรมันมายึดครอง ตั้งเป็นมณฑลกอล แล้วตั้งเป็นอาณาจักรแฟรงก์ ต่อมามีจักรพรรดิชาลมัญ ปกครองในฐานะจักรพรรดิของ “จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์”

ชาลมัญมีลูกชายสามคน คนสุดท้องชื่อ “ชาร์ลส์หัวล้าน” (Charles the Bald) ปกครองส่วนของจักรวรรดิที่พัฒนามาเป็นประเทศฝรั่งเศสปัจจุบัน

ลูกหลานของชาร์ลส์หัวล้านก็เป็นกษัตริย์ฝรั่งเศสสืบต่อกันมา จนถึงหลุยส์ที่สิบหก

ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า ‘ancien regime” หรือระบอบเก่า

ปี 1789 เกิดปฏิวัติ หลุยส์ที่่สิบหกถูกประหารชีวิตในปี 1792 ข้อหาทรยศต่อชาติ แล้วตั้งเป็นสาธารณรัฐที่หนึ่ง

สาธารณรัฐที่หนึ่งยุบไปเมื่อนโปเลียนทำรัฐประหารยึดอำนาจในปี 1799 ตั้งตัวเป็นเผด็จการ แล้วสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ ในปี 1804 ถือเป็นจักรวรรดิที่หนึ่ง

ต่อมานโปเลียนแพ้ฝ่ายพันธมิตรที่มีอังกฤษกับปรัสเซียเป็นแกนนำ พันธมิตรยกเลิกจักรวรรดิที่หนึ่ง ตั้งน้องชายของหลุยส์ที่สิบหกมาเป็นกษัตริย์ ชื่อหลุยส์ที่สิบแปด (หลุยส์ที่สิบเจ็ดคือลูกของหลุยส์ที่สิบหก ตายในระหว่างถูกคุมตัวเมื่ออายุราวสิบขวบ)

หลุยส์ที่ 18 ตายในปี 1824 ราชสมบัติตกมาเป็นของชาร์ลส์ที่ 10 น้องชาย

ปี 1830 เกิดการปฏิวัติ ประชาชนขับไล่ชาร์ลส์ที่ 10 แล้วตั้งญาติของชาร์ลส์ที่ 10 คือ หลุยส์ฟิลิป ซึ่งเป็นลูกของ “Philip Egalite” หรือดุ๊คแห่งออร์เลียง พระญาติของหลุยส์ที่สิบหก มาเป็น “กษัตริย์” แทน แต่ไม่เรียกตัวเองว่า King of France แต่เรียกว่า King of the French

ปี 1848 เกิดปฏิวัติใหญ่อีกครั้งหนึ่ง หลุยส์ฟิลลิปสละราชสมบัติ แล้วมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญสาธารณรัฐอีกครั้ง ประกาศเป็น “สาธารณรัฐที่สอง”

ปี 1852 หลุยส์นโปเลียน หลานของนโปเลียน โบนาปาตร์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แต่ได้ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจแล้วตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิ ชื่อ “นโปเลียนที่สาม” (นโปเลียนที่สองคือลูกชายของนโปเลียนที่หนึ่ง ตายไปก่อนเหมือนกัน)

จักรวรรดิของนโปเลียนที่สาม เรียกว่า “จักรวรรดิที่สอง”

ปี 1871 ฝรั่งเศสของนโปเลียนที่สาม รบกับปรัสเซียแล้วแพ้ นโปเลียนที่สามไปรบกับเค้า แล้วโดนทหารเยอรมันจับเป็นเชลย สภาเลยประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ สถาปนา “สาธารณรัฐที่สาม” ขึ้น

ตอนนี้ฝรั่งเศสวุ่นวายมาก เพราะมีแนวคิดแบบคอมมิวนิสม์ของคาร์ล มาร์กซ์เข้ามา มีการจัดตั้งคอมมูนปารีส

นอกจากนี้ความวุ่นวายยังมาจากพวกนิยมระบอบกษัตริย์ที่ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ พยายามจะเอาฝรั่งเศสกลับไปเป็นราชอาณาจักร แต่ก็แตกกันเองระหว่างสายของหลุยส์ที่สิบสี่ กับสายของดุ๊คแห่งออร์เลียง

อย่างไรก็ตามสาธารณรัฐที่สามก็อยู่มาได้อย่างกะท่อนกะแท่น

สาธารณรัฐที่สามสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ ด้วยการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสต่อนาซีเยอรมันในปี 1941 อิตเลอร์ยอมให้มีรัฐบาลฝรั่งเศสที่ตั้งสำนักงานที่เมืองวิชี่ แต่ทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของเยอรมันทั้งหมด

เมื่อนาซีเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ก็มีการประกาศตั้งสาธารณรัฐที่สี่ขึ้น จนถึงปี 1958 ซึ่งเกิดวิกฤตการณ์หลายอย่าง ชาร์สล์ เดอโกล ต้องกลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีใหม่ แล้วมีประชามติยกเลิกสาธารณรัฐที่สี่หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อตั้งสาธารณรัฐที่ห้า มาจนถึงปัจจุบัน

Posted in Uncategorized | Leave a comment

ความรู้ใหม่ เรื่องสมองมนุษย์ ที่นักการตลาดควรรู้

from http://www.nuttaputch.com/12-brain-secret-that-marketer-must-know/

ความลับของสมองมนุษย์ 12 อย่างที่นักสื่อสารการตลาดควรรู้

เวลาเราพูดเรื่องการตลาดนั้นคงไม่พ้นที่เราจะต้องมาพิจารณาเรื่องของมนุษย์เป็นสำคัญ ยิ่งถ้านักการตลาดเข้าใจความคิดหรือกลไกของมนุษย์มากเท่าไร เราก็สามารถเอาข้อมูลเหล่านั้นมาคิดกลยุทธ์การตลาดดีๆ ได้เช่นกัน ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดคือแคมเปญที่ประสบความสำเร็จนั้นล้วนสามารถอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ / จิตวิทยาทั้งสิ้น

ดูตัวอย่างข้อมูลล่าสุดที่นำเสนอโดย Emma ที่อธิบายกลไกสมองของมนุษย์ที่น่ารู้เพื่อเอาไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค หรือไปพัฒนาเทคนิคการตลาดของคุณ ซึ่งก็น่าสนใจทีเดียวครับ

  1. เราจะมีปฏิกริยาตอบสนองอัตโนมัติใน 3 วินาทีหรือน้อยกว่านั้น
  2. การประมวลผลจากอารมณ์และความรู้สึกจะเร็วกว่าการใช้เหตุผลถึง 5 เท่า
  3. ความรู้สึกจะอยู่กับเรานานกว่าเหตุผลหรือความคิด
  4. สมองของเราประมวลผลภาพเร็วกกว่าข้อความถึง 60,000 เท่า
  5. 90% ของข้อมูลที่สมองประมวลผลเป็นข้อมูลแบบภาพ
  6. เราจะจดจำข้อมูลที่มีภาพและข้อความมากกว่าข้อมูลที่มีข้อความอย่างเดียว
  7. สมองคนเรานั้นโยงภาพใบหน้าของมนุษย์กับสิ่งต่างๆ ได้ตั้งแต่เกิด
  8. สมองส่วนที่ประมวลผลภาพนั้นอยู่ติดกับสมองส่วนที่ประมวลผลด้านอารมณ์
  9. ภาพที่มีใบหน้าของคุณมักจะทำให้เราเตะตา
  10. 62-90% ของการตัดสินสินค้านั้นเกิดจากการตัดสินด้วยสี
  11. สีเหลืองนั้นกระตุ้นสมองส่วนกลาง
  12. สีน้ำเงินสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจ

รู้แล้วยังไง?

  • คุณต้องวางแผนที่จะกระตุ้น Gut Reaction เช่นการเขียนหัวข้อที่เตะตา กระตุ้นความสนใจ เช่นเดียวกับการโยงเรื่องของอารมณ์ซึ่งจะทำให้มันน่าสนใจมากขึ้น
  • สร้างคอนเทนต์ที่เน้นภาพเป็นสำคัญ
  • ลองคิดเรื่องการใช้ภาพนำสายตาคนไปยัง Call to action
  • ทดลองวิธีต่างๆ เพื่อหาวิธีที่ได้ประสิทธิภาพที่สุด’

1415043150-12-facts-human-brain-make-marketing-successful

Posted in Uncategorized | Leave a comment

บังคับมะพร้าว..ลูกดก

from http://www.thairath.co.th/content/459658

บังคับมะพร้าว..ลูกดก ง่ายๆแค่ปลายนิ้ว

โดย เพ็ญพิชญา เตียว 29 ต.ค. 2557 05:01
“เราเป็นประเทศเดียวที่มีมะพร้าวน้ำหอมส่งขายต่างประเทศ ยิ่งผู้บริโภครู้ว่า น้ำมะพร้าวมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ ความต้องการเลยเพิ่มมากขึ้น จากเคยส่งออกได้ปีละ 10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,000% เป็น 500 ล้านบาท น่าเสียดาย ยอดสั่งน่าจะได้เพิ่มมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่เรากลับมีผลผลิตไม่พอส่ง เพราะมะพร้าวน้ำหอมที่ปลูกให้ลูกไม่ดกพอ”

รศ.วรภัทร ลัคนทินวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์เครื่องมือเพื่อการวิจัยขั้นสูง ภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงหาทางแก้ปัญหาด้วยการนำเทคนิคผสมเกสรมะพร้าวจากฟิลิปปินส์ ศูนย์กลางศึกษามะพร้าวทั่วโลก มาทดลองใช้กับสวนมะพร้าวน้ำหอม ใน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี…แต่ให้ทำยังไงก็ไม่สามารถทำให้มะพร้าวติดผลดกเหมือนที่ตั้งใจ

เม็ดดอกเกสรตัวผู้

“ขึ้นต้นมะพร้าวไปนั่งๆตัดโน่นตัดนี่ บางครั้งก็ทำกาบมะพร้าวหัก จนเจ้าของสวนกลัวว่ามะพร้าวจะยืนต้นตาย เลยห้ามไม่ให้ทำงานวิจัยต่อ เป็นอย่างนี้ 3-4 แห่ง ทำให้ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่หลายครั้ง”

แต่วิกฤติได้กลายเป็นโอกาส ความล้มเหลวก่อให้เกิดความชำนาญ มีเวลาสังเกตธรรมชาติการผสมเกสรดอกตัวผู้และจั่นตัวเมียว่า เกิดขึ้นแบบไหน… ต้องผสมกันยังไงถึงจะดีที่สุด

เอาน้ำเกลือตัวเดียวกันล้างทีละดอก

เริ่มด้วยการเตรียมจั่นมะพร้าวที่พร้อมจะผสมเกสร ให้สังเกตดอกตัวผู้ (ปลายหางหนู) เม็ดตูมสีเขียวแสดงว่าแก่จัดใช้ได้ แล้วเอาน้ำเกลือเข้มข้นอิ่มตัว (saturated) ที่ได้มาจากเกลือแกงมาละลายน้ำ เติมเกลือไปเรื่อยๆ กระทั่งเม็ดเกลือไม่ละลายน้ำ…นั่นแหละเกลือเข้มข้นอิ่มตัว

รูดเก็บเม็ดดอกตัวผู้มาล้างน้ำเกลือ เก็บใส่ถุงแช่ตู้เย็นช่องธรรมดา

ส่วนดอกตัวเมีย (ลักษณะเหมือนลูกมะพร้าวจิ๋ว) ที่อยู่คาจั่น เอาน้ำเกลือตัวเดียวกันล้างทีละดอก คลุมด้วยถุงผ้าแก้ว ขนาด 3×7 นิ้ว ใช้เชือกมัดปากถุง ทิ้งไว้ 7 วัน…รอจนดอกตัวเมียเปิดเปลือก มีน้ำหวานเยิ้มออกมา เปิดถุงผ้าแก้วเป็นช่องเล็กๆ เอาดอกตัวผู้ที่เก็บไว้ในตู้เย็น ใช้คีมคีบใส่เข้าไปในถุง แล้วบีบให้แตก ทำอย่างนี้ 3 วัน… 1 จั่น มีดอกตัวเมียประมาณ 6-7 ดอก ฉะนั้นจะต้องใช้ดอกตัวผู้ประมาณ 18-21 ดอก ในการผสมแต่ละครั้ง

คลุมด้วยถุงผ้าแก้ว ขนาด 3×7 นิ้ว ใช้เชือกมัดปากถุง ทิ้งไว้ 7 วัน

“เป็นการเลียนแบบธรรมชาติ จากเดิม 1 ทะลาย อย่างเก่งก็มีมะพร้าวแค่ 2-3 ลูก แต่วิธีนี้ทำให้มะพร้าวที่ผสมติดทุกลูก เมื่อลูกมะพร้าวมีขนาดโต จะดันถุงผ้าแก้วให้ฉีกขาดเอง เราเลยไม่จำเป็นต้องเย็บถุงผ้าให้แข็งแรง แต่มะพร้าวจะติดลูกดีหรือไม่ อยู่ที่เกษตรกรดูแลใส่ปุ๋ยให้ต้นแข็งแรง รอเวลาอีกแค่ 7 เดือน สามารถเก็บมะพร้าวได้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่มะพร้าวมีคุณภาพ หอมหวานมากที่สุด”

วิธีการนี้ไม่เพียงช่วยชาวสวนสามารถบังคับให้ลูกมะพร้าวติดลูกดกอย่าง เดียว ยังช่วยให้ติดผลได้ตลอดทั้งปี เพราะถ้าปล่อยให้ธรรมชาติผสมเอง เจอฝน ลมแรง จะไม่ติดลูกเลย…สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 08–1822–2801.

ทำให้มะพร้าวติดลูกดก และยังช่วยให้ติดผลได้ตลอดทั้งปีอีกด้วย
Posted in Uncategorized | Leave a comment

แนะนำหนังเล่าเรื่องพุทธจากเกาหลี

จากโพสต์นี้ https://www.facebook.com/kornkitd/posts/10152788573731954:0

วิวาทะเรื่องหนัง “ขรัวโต” ทำให้ผมคิดถึงเรื่องคุณภาพหนังไทยเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกครั้ง หลังจากคิดแล้วคิดอีกมานานหลายปี ดูมาหลายเรื่องก็ยังไม่ค่อยถูกใจ เพราะการดัดแปลง (Adaptation) คำสอนยังไม่ถึง ไม่มีมิติ ที่สำคัญไม่ทันสมัย แล้วใครจะไปดูล่ะครับ? เรื่องดัดแปลงคำสอนมาเป็นหนังทำกันยังไม่ถึงผมเชื่อว่าผู้สร้างไม่เข้าใจ หลักธรรมมากพอ หรืออาจจะเข้าใจชีวิตแต่นำมาตีแผ่ในแง่มุมของธรรมะไม่เต็มที่

ที่ว่าไม่ได้เข้าใจหลักธรรมมากพอไม่ได้หมายความว่าต้องนั่งวิปัสสนาบรรลุ ธรรมนะครับ แต่ต้องศึกษาด้านปรัชญาพุทธมาระดับหนึ่ง จนซาบซึ้งพอ รู้ว่าจะหยิบตรงไหนมานำเสนอ และจะเสนอยังไง พูดง่ายๆ คือ ต้องทำการบ้านด้วยการอ่านคัมภีร์ ประวัติศาสต์ศาสนา และทำหนัง Drama เป็น แบบที่ดูแล้วผู้ชมรู้สึกร่วมไปด้วย

หนังพุทธต้อง Drama นะครับ เหมือนพุทธประวัติก่อนออกมหาภิเนษกรมณ์ เจ้าชายสิทธัตถะก็พบกับความผันผวนของชีวิตจนต้องออกบวช ถ้าทำหนังพุทธแต่นเสนอแบบพระเทศน์ก็จบกัน

ผมยกตัวอย่างเกาหลีใต้แล้วกัน ประเทศนี้พุทธศาสนาถูกกดขี่มาก ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่นับถืออะไรสักอย่าง แต่หนังเกี่ยวกับพุทธศาสนที่ดีที่สุดกลับมาจากที่นี่ แม้แต่ที่ญี่ปุ่นก็เทียบเกาหลีไม่ติดใน genre นี้

เท่าที่เคยชมมาบ้าง พอจะรวบรวมหนังพุทธศาสนาทีดีที่สุดจากเกาหลี (และคนทั่วโลกก็ซูฮก) ได้ดังนี้

1. Spring, Summer, Fall, Winter… and Spring – เรื่องนี้เซียนหนังชอบกันมาก เกี่ยวกับวัฏจักรชีวิตจากฤดูกาลผลบาน สู่โรยรา แล้วก็ผลิบาน ผ่านความสงบนิ่ง สู่ความหวั่นไหว วูบวาบ และหวนคืนสู่สันตินิรันดร์ ใช้ฉากสำนักสงฆ์กลางหุบเขา แต่ฉากทำสุดยอดมาก คือทำกุฏิวิหาร (เกาหลีเรียว่า “อัม”) เป็นแพลอยกลางหนองน้ำใหญ่โอบล้อมด้วยภูผา หนองน้ำแทนสังสารวัฏ ส่วนวิหารแพคือธรรมนำพ้นวังสารวัฏ ภูผาคือนิพพานหลุดพ้น นัยยะซ่อนไว้ทุกแง่มุมแต่ตีความไม่ยากเลย หนังเองก็ดำเนินเรื่องไม่ซับซ้อนแต่ลึกซึ้งมาก

2. Aje Aje Bara Aje – เป็นหนังเกี่ยวกับความขัดแย้งและย้อนแย้งภิกษุณี 2 รูป คนหนึ่งเชื่อว่าจะบรรลุธรรมได้ก็ด้วยการปลีกวิเวก อีกคนเชื่อว่าจะบรรลุได้ก็ต่อเมื่อเกลือกกลั้วกับทางโลกจนเกิดความเบื่อ หน่าย ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจบรรพชิตหรือแม้แต่คฤหัสต์ทุกหนแห่ง ล้วนตั้งคำถามว่า ทางธรรมดีกว่าหรือทางโลกดีกว่า ที่จะทำให้เราได้เขาถึงสัจธรรมที่แท้จริง เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ปัญหาปรัชญาแต่ยังมีความขัดแย้งของมนุษย์ปุถุชนด้วย

3. Mandara – เรื่องก่อนหน้าเป็นความขัดแย้งระหว่างภิกษุณี เรื่องนี้เป็นประเด็นคล้ายๆ กัน แต่ตัวเอกคือภิกษุ 2 รูป บำเพ็ญธุดงควัตร รอนแรมไปทั่ว คนหนึ่งเคร่งวินัย อีกคนฉันเสุราไมขาด เพราะความกลัดกลุ้มใจ เพราะหวังจะบวชหนีทางโลก แต่ยังถูกโลกรุมเร้าจิตใจเสมอมา พระฝ่ายเคร่งเกือบจหวั่นไหวเพราะภัยทางโลกจากอีกรูปหนึ่งหลายครั้ง แต่สุดท้าย ก็เข้าใจได้ว่าทางโลกนั้นเปล่าประโยชน์ จึงจาริกอย่างมุ่งมั่นต่อไป

4. Why Has Bodhi-Dharma Left for the East? – ชื่อเรื่องนี้มาจากปริศนาธรรมของนิกายฉาน (นิกายเซน หรือเกาหลีเรียกว่าซอน) คือ “เหตุใดพระโพธิธรรมจึงเดินทางมาตะวันออก?” คำตอบนี้พระที่ถูกถามจะต้องขบคิดอยุ่ทุกขณะจิต กระทั่งเกิดความสว่างวาบ เกิดภาวะบรรลุธรรมขึ้นจึงจะปล่อยวางได้ เรื่องนี้มีปริศนาธรรมเป็นแกนหลัก มีแรงปรารถนาและความกังขาของพระหนุ่มหมุนวนอยู่รอบๆ คอยขับเคลื่อน ใช้ฉากวัดเล็กๆ ในป่า พระหนุ่มหนีโลกโสมม เดินทางมาหวังจะพบสันติแท้จริง แต่หลังจากขบคิดปรัศนาธรรมครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เข้าใจ ทั้งยังถูกรบกวนด้วยอารมณ์ปุถุชน พระหนุ่ม อาจารย์เฒ่า และเณน้อย ทั้งสามดำรงอยู่ในปริศนาธรรม และช่วยกันขับเคลื่อนปริศนาธรรมอย่างกินใจ

5. Hwa-Om-Kyung – เป็นการ Adaptation คันฑวยูหสุตร ซึ่งว่าด้วยจาริกแสวงหาอาจารย์ของสุธนกุมาร ในเรื่องนี้สุธนกุมาร หรือ ซอนแจ เป็นเด็กกำพร้า พานพบผู้คนหลากหลาย ซึ่งล้วนแต่เป็นภาพสะท้อนของอาจารย์ในคันธวยูหสุตร ซึ่งมีทั้งภิกษุ โสเภณี นายช่าง อาจารย์ ฯลฯ แต่ละคนที่ได้พบเสวนาซอนแจได้เรียนรู้สัจจธรรมแง่มุมต่างๆ เหมือนสุธรกุมารค่อยๆ สั่งสมปัญญากระทั่งบรรลุธรรรมในที่สุดแต่หนังทำอย่างแนบเนียนในฉากร่วมสมัย ไม่มีกลิ่นอายธรรมะที่น่าเบื่อเลย เป็น Adaptation ที่ยอดเยี่ยมมาก

ผู้กำกับเกาหลีแข่งกันสร้างหนังแถมยังซ่อนนัยยะของพระสูตรในหนังแต่ละเรื่อง อีก เป็นการแข่งซ่อนนัยยะที่สุดยอดมาก อย่างงเรื่อง Spring, Summer, ใช้ “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร” (ชิมคย็อง) เป็นแกนหลัก พระสูตรนี้ว่าด้วยความไร้แก่นสาร ความเป็นอนิจจังของชีวิต ก็ตรงกับคอนเซปต์หนัง ส่วนเรื่อง Aje Aje Bara Aje ก็ใช้พระสูตเดียวกัน เพราะคำว่า “อาเจ อาเจ พารา อาเจ” มาจากคาถาท้ายพระสูตรนี้ หมายความว่า “ไป ไป ไปฝั่งโน้น ไปให้ถึงฝั่งโน้ หเวย!” “ฝั่งโน้น” หมายถึงปลายทางของสังสารวัฎนั่นเอง ส่วนเรื่อง Hwa-Om-Kyung มาจากอวตังสกสูตร บทคันฑวยูหสูตร ซึ่งมีความลึกซึ้งมาก แต่ผู้กำกับก็ทำออกมาได้ลึกล้ำ หากไม่ยากที่จะเข้าใจ

เกาหลีเป็นตัวอย่างที่ดีครับ อยากให้วงการภาพยนต์ไทยใช้เป็นแบบอย่าง การนำเสนอหนังแฝงธรรมะ เป็นเรื่องน่ายกย่อง แต่ถ้านำเสนอแบบไม่มีชั้นเชิง หรือทำการบ้านน้อยเกินไป นอกจากหนังจะล้มเหลวแล้ว คนยังจะยิ่งเบื่อธรรมะเข้าไปอีก


https://www.youtube.com/watch?v=SXCXHed3GC8
https://www.youtube.com/watch?v=Y5pWziBB1NE
https://www.youtube.com/watch?v=6mkGPThcugc

https://www.youtube.com/watch?v=5mVba2EOsEs

https://www.youtube.com/watch?v=5mVba2EOsEs

Posted in Uncategorized | Leave a comment

อีกมุมมองต่อเรื่อง “น้อง ข้าวมันไก่” ใน TED talk

โดย Twitch Sanitthangkoon

ความสามารถและความพยายามในการทำข้าวมันไก่20%ความสามารถของหี 80%

แห่โปรโมทกันซะเหมือนใช้ความสามารถล้วนๆ หอบเสื่อผืนหมอนใบมาสร้างเนื้อสร้างตัว

ค่าที่พักก็ไม่ต้องจ่าย….มี selling permit มาให้ฟรีๆ

‪#‎หีดำทำธุรกิจ‬

“โลกเราทุกวันนี้มีคนสำหรับสร้างแรงบันดาลใจเยอะพอแล้ว…

เรามีคนที่ออกมาบอกว่า Jobs กับ Gats เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย…โดยที่ไม่บอกด้วยว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่โง่หรือ ขี้เกียจ จนเรียนไม่จบ แต่เป็นระดับหัวกะทิของมหาวิทยาลัยที่มีกิจการตั้งแต่ยังเรียนอยู่…(ยัง ไม่รวมถึงว่าแม่ของGatesมีเส้นสายระดับไหนในบริษัทIBM)

เรามีดาราที่ออกมาเล่าเรื่องราวความเกเรในวัยเรียน…แต่ก็ยังรวยได้โดยที่เด็กทั่วไปไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนพวกเขา

ล่าสุดเรายังมีโรบินฮูดสาวไทยออกมาสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่อยากจะลอง เสี่ยงเดินทางมาดินแดนแห่งเสรีภาพและโอกาส…เพื่อจะได้พาตัวเองและครอบครัว ให้พ้นจากความยากจน….โดยที่ลืม..หรือจงใจลืมที่จะไม่ให้รายละเอียด ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจก่อนใช้ทุนก้อนสุดท้ายเพื่อเป็นค่า เดินทาง
คนที่ได้แรงบันดาลใจปัญญาอ่อนแบบนี้จะทำยังไง??…มาอเมริกาด้วยเงิน$140???(กูเพิ่มให้อีก $70 เลยอ่ะ)

ค่าที่พักแบบปูเสื่อนอนกันในห้องรับแขกก็เดือนละ$300-$400…ระหว่างหาที่ พักซึ่งก็ไม่ได้ว่างตลอดจะไปนอนที่ไหน ในเมื่อโรงแรมคืนละ $50-$70…น้องควรจะบอกว่า คนที่จะมาต้องมีผัวที่มีที่พักให้ซุกหัวฟรีอยู่แล้ว

เมื่อผ่านด่านแรกต่อไปคือ คนที่จะมาต้องมีภาษาอังกฤษติดตัวพอสมควร เพราะร้านที่จะรับเราเข้าทำงานไม่ได้เป็นร้านแบบ buffet (ซึ่งใช้ทักษะทางภาษาต่ำกว่า) ไปซะทุกร้าน…ซึ่งมันจะไม่รับมึงเข้าทำงานถ้ามึงพูดภาษาอังกฤษไม่รู้ เรื่อง…ซึ่งพูดไม่รู้เรื่องนั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับฟังไม่รู้เรื่อง… ซึ่งการฟังใช้เวลาพัฒนาทักษะนานกว่าการพูด

นี่เป็นแค่ส่วนพาดหัวจากเวบข่าว… ยังดูมีความเป็นไปไม่ได้ถึงขนาดนี้ แล้วส่วนที่เหลือจะมีความซับซ้อนขนาดไหน ……… ไม่ได้บอกว่าเป็นไปได้ยาก มีคนมากมายแม่งไปได้ถึงจุดนั้น นับหัวกันไม่หวาดไม่ไหว แต่คนที่ท้อและล้มเลิกไปก็มีไม่น้อย

กูไม่สนว่ามึงจะเป็นฮูดหรือเปล่า จะโดดวีซ่าอยู่ถูกกฏหมายหรือไม่ …ที่นี่ไม่ใช่ห้องตอแหลไกลบ้านพันทิปซึ่งรังเกียจฮูดยังกะขี้หมา ….ประเทศเหี้ยนี่ก่อร่างสร้างตัวมาจากผู้อพยพ…มันเปิดรับพวกมึงเสมอถ้า ขอวีซ่าผ่าน…มันมีกฏหมายและระบบบังคับใช้ที่เข้มแข็งที่จะควบคุมพวก มึง…..ถ้ามึงพร้อม มึงอยากลอง………………………………………

ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ….การตัดสินใจเดินทางมาเสี่ยงโชคที่สหรัฐอเมริกา มันเหมือนกับการเอาตัวเรา โยนเข้าไปในเกม เกมหนึ่งซึ่งเป้าหมายของการเคลียร์เกมคือ การไปให้ถึงเลเวล 99…และมีเงินอยู่ในบัญชีมากมาย …มีไอเทมล้นกล่อง…มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก

แต่ก่อนที่เราจะไปถึงจุดนั้น พวกมึงทุกคนต้องเริ่มเกมด้วยการเป็น novice เลเวล 1 และเคลียร์เควสท์มากมาย….(อันนี้สมมุติว่ามึงเล่นคนเดียวนะ ไม่มีคนเข้ามาเล่นก่อนแล้ว tank ให้)

ณ เลเวล 1 นี้ ที่ทุกคนต้องเตรียมตัวที่จะผ่านคือ Shelter คือการหาที่ซุกหัว … มึงลงเครื่องกันมา คืนแรกมึงต้องหาที่นอนให้ได้ก่อน ไม่งั้นมึงก็ต้องไปนอนดมเยี่ยวbum… หาไว้ได้ล่วงหน้ายิ่งดี …. โรงแรมคืนละ $50-$70…ซึ่งมึงต้องอยู่ไปจนกว่าจะหาที่อยู่รายเดือนซึ่งจ่ายถูกว่าได้ แบ่งเป็นประเภทได้ดังนี้

$300-400 :กั้นม่านนอนในห้องรับแขก… ทางรอดพื้นฐานของการหาที่ซุกหัวนอน ….ได้มาจากคนที่เช่าอพาร์ทเมนไว้แล้วลงโฆษณาให้มึงมาช่วยจ่ายค่าห้อง แลกกับที่ซุกหัวซึ่งสภาพโสกังสัส ๆ มีคนเดินผ่านไปมาตลอด…เก็บของมีค่าไว้ไม่ได้เพราะไม่มีประตู…ส่วนใหญ่จะ อยู่กันแค่เดือนสองเดือนระหว่างรอหาที่พักใหม่…

$500-700: ห้องแบ่งให้เช่า……มึงจะได้ประตูแลกกับราคาที่สูงขึ้น …แต่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นลอคกุญแจเก็บของมีค่าไว้ในห้องได้ มีครัว มีห้องรับแขกส่วนกลาง(บางทีก็อาจจะไม่มีเพราะไอ้ 300 ข้างบนมันนอนอยู่) ที่พักแบบนี้ส่วนใหญ่อยู่ไกลจากตัวเมือง มึงต้องมีรถ อยู่อยู่ในเมืองที่มีระบบขนส่งมวลชนดี ไม่งั้นหลังสองทุ่ม มึงเดินอย่างเดียว

$800-1100 : studio apartment…มึงมีกรรมสิทธิ์ในห้องมึงแล้ว จะนอนดูดบุหรี่ในห้องก็ไม่มีใครว่า…แต่ต้องแลกมาด้วยการจ่ายค่าน้ำ- ไฟ-อินเตอร์เนท ($70-100) ต่างหาก ซึ่งไอ้สองประเภทข้างบนมันรวมให้ในตัว

$1200 and up : บ้านมึงจะเริ่มมีหลายห้อง…มึงสามารถลโฆษณา ให้พวก 300 มานอนในห้องรับแขก และพวก 500 มานอนให้ห้องที่ว่าง ถ้าบริหารดี ๆ มึงแทบจะไม่ต้องจ่ายค่าเช่า …. แต่ต้องแลกกับความเสี่ยงที่พวกแม่งจะย้ายออก …เพราะถ้ามีห้องว่างเมื่อไหร่ เป็นมึงเองที่จะโดนค่าเช่าเต็ม ๆมึงเป็น novice มึงซื้อบ้านไม่ได้ ระบบของเกมไม่ยอมให้มึงซื้อ !!!

ตอนที่มึงหาที่ซุกหัวให้ตัวมึงเองได้แล้ว ตอนนี้มึงจะอยู่ที่ประมาณเลเวล 3 – 4
มึงต้องตีโปริ่ง ฝึกสกิลทางการใช้ภาษาอย่างหนักก่อนที่มึงจะเปลี่ยนอาชีพ

หยุด ดูละครไทยผ่านยูทูบ…หาเหี้ยอะไรก็ได้ที่เป็นภาษาอังกฤษดู…เปิดซับไทย ซับอังกฤษเหี้ยอะไรสลับกันไปเรื่อย เพราะตอนมึงเลือกอาชีพ เกือบทุกอาชีพต้องใช้ทักษะทางการพูดและฟัง….

สาย อาชีพที่นี่สำหรับฮูด มีให้เลือกไม่เยอะ ส่วนใหญ่เป็นงานบริการ ถ้ามึงหยิ่ง มึงไม่ต้องมา มึงนอนแดกแกลบอยู่เมืองไทย เพราะอาชีพที่เป็นเรื่องเป็นราวส่วนใหญ่ต้องการใบอนุญาตทำงาน และสกิลภาษาที่สูงเกือบถึงระดับnative..

แบ่งเป็นประเถทได้ตามนี้ ไม่ต้องพยายามโม้ว่ากูทำนั่นนี่เป็น มีให้เลือกแค่นี้
(ค่าแรงที่เห็นเป็นค่าแรงเฉี่ลยต่อวัน)

พนักงานเสิรฟ : ยืนและเดินเติมน้ำ ยกอาหาร เทคออร์เดอร์ อัพเกรดเป็น ผู้จัดการร้านได้
ระดับความยาก – XX
รายได้ – $60 (+ $0-$150)
สกิลพิเศษที่ต้องการ – ภาษาอังกฤษระดับกลาง

พนักงานdelivery : ขับรถส่งอาหารกล่องตามบ้าน
ระดับความยาก – XXX
รายได้ -$60 ( + $0-$150)
สกิล พิเศษที่ต้องการ – ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน(ผ่านหูโทรศัพท์),ใบอนุญาตขับรถ และรถส่วนตัว (ค่าจ้าง $60 รวมค่าน้ำมันและค่าสึกหรอแล้ว)

พนักงานยกของในตลาด และแคชเชียร์
ระดับความยาก – X
รายได้ – $90
สกิลพิเศษที่ต้องการ – แรง

พนักงานล้างจาน : มันไม่รับมึงหรอก พวกแมกซิกันล้างเร็วกว่ามึงเยอะ
ระดับความยาก – X
รายได้ – $90
สกิลพิเศษที่ต้องการ – แรง

พนักงานนวด:เรียนนวดมาจากเมืองไทยได้ยิ่งดี มาถึงจะได้ไม่ต้องฝึกเยอะ
ระดับความยาก – XXXX
รายได้ – $0 – $300+
สกิลพิเศษที่ต้องการ – แรง ทักษะการนวด ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ต้องการใบอนุญาต

line cook : ในครัวร้อนสัส ดมควันทั้งวัน ต่อให้ร้านขายดี ค่าแรงก็เท่าเดิม อัพเกรดเป็น chef ได้
ระดับความยาก – XXXX
รายได้ – $100-$110
สกิลพิเศษที่ต้องการ – หัด ๆ จับตะหลิวไว้บ้างสัส

sushi man : ลูกผสมระหว่าง พนักงานเสิรฟ กับ Line cook แต่ไม่ต้องดมควันอัพเกรดเป็น chef ได้
ระดับความยาก – XXXX
รายได้ – $100-$110 (+$0 – $100)
สกิลพิเศษที่ต้องการ – ใช้มีดคล่อง ภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน

chef : คนไทยแม่งเข้าใจผิดว่าคนทำกับข้าวเป็นคือ chef …ไอ่สัส นั่นมัน Line cook แล้วร้านอาหารไทยแม่งไม่ต้องการเชฟ …. มีแค่ Line cook ยืนผัดก็พอ
ระดับความยาก – XXXXX
รายได้ – $ 150 (+$0 – $100 ในกรณี sushi chef)
สกิลพิเศษที่ต้องการ – สร้างเมนูเองได้ เซทอัพร้านขึ้นมาจากศูนย์ได้ ภาษาอังกฤษระดับกลาง ต้องการใบอนุญาต

มึงต้องวนเวียนอยู่กับอาชีพพวกนี้ไปจนเลเวล 36 เพื่อเปลี่ยนสถานะ

ตอน นี้มึงเลเวล 36 แล้ว….มึงเบื่อกับการไล่ตีมอนสเตอร์เก็บทองไปวัน ๆ มึงต้องการจะเปลี่ยนสถานะเป็นเจ้าของกิลด์….ถ้ามึงเป็นฮูด…มึงมีวิธี เดียว …”แต่งงานกับ US CITIZEN”

ถ้ามึงพบคนที่รักมึงจริง ๆ และเสือกเป็นซิติเซนด้วย….มึงถูกหวย

แต่ถ้าไม่ ….มึงต้องจ้าง….
( เคสเชฟน้อง อะเดย์ เหี้ยไรนี่ กูคิดว่าแต่งจริง เค้าคงรักกันจริงๆ ไม่ได้จ้าง…เพราะการจ้างจะใช้เงินประมาณ $15,000-25,000 แล้วแต่โปรไฟล์ของผู้รับจ้าง และความเขี้ยวของเอเย่นต์…

ซึ่ง “พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ และมีเงินติดตัวมา $70” ไม่มีทางทำได้ก่อนระยะเวลา 4 ปี…สัส ดังนั้นแม่งต้องแน่ใจพอสมควรว่าจะมีคนมารับที่สนามบิน ซัพพอร์ทด้านที่พัก และสถานะพลเมืองก่อนที่จะบินมา

เว้น แต่ว่าจะเป็นการจ้างแต่งล่วงหน้าโดยเอเย่นต์ชาวไทยก่อนที่จะเดินทาง อันนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ กูยังไม่เคยเห็นเคสแบบนี้มาก่อน)

เอาล่ะ กูแพล่มไปแล้วว่า มึงต้องจ้างด้วยราคา 25,000 ซึ่งนั่นจะเป็นเงินเก็บหลังจากมึงเปลี่ยนอาชีพตอนเลเวล 9….

ด้วย การทำงานอย่าหนัก 5-6 วันต่อสัปดาห์ มึงควรจะมีเงินประมาณเดือนละ 2500-3000(มึงไม่มีทางทำเงินได้ขนาดนี้ในช่วง 2-3 ปีแรก) หักค่าเช่าบ้าน 500 ค่ากิน ค่าของใช้จิปาถะ ค่าประกันรถยนต์ ค่าโทรศัพท์ เหี้ยห่าสารพัด (ถ้าไม่ต้องส่งกลับมาช่วยจุนเจือทางเมืองไทย)มึงควรจะเหลือเงินเก็บประมาณ เดือนละ 1000 ซ่งจะใช้เวลา 14 เดือน ถึงจะพอเอาไปจ่ายค่ามัดจำของคนจ้างแต่งกับเอเย่นต์ ก็พวกแม่งคนไทยเนี่ยแหละ…

มัน จะเก็บมึง $14000 แล้วเอาหน้าผัว-เมีย กำมะลอของมึงมาให้เลือก เซ็นสัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องเรียกค่าเลี้ยงดูตอนหย่า มึงลองไปฟ้องสิ ….มันจะได้ฟ้องมั่งว่ามึงจ้างมัน แล้วรัฐบาลจะยึดสถานะมึงคืน …ตังค์ที่จ่ายไปก็จ่ายไปเปล่า ๆ…แต่ตัวมันก็เสี่ยงคุกไปด้วย…มันเลยออกมาแบบ วิน-วิน…มึงได้เงิน กูได้ใบ เสร็จเรื่องก็แยกย้าย

หลังจากมึงจดทะเบียนสมรส สิ่งที่มึงจะได้เป็นอย่างแรกคือ เลขบัตรประกันสังคม
(เป็นตัวเลขติดตัวของเด็กที่เกิดลืมตาดูโลกในอเมริกา ซึ่งใหฺ้ Birth Rights Citizenship )

ตัว เลขนี้เป็นเกือบทุกอย่างในชีวิตของคนที่จะอยู่ที่อเมริกา ใช้สมัครงาน จ่ายภาษี หักภาษีคืน รับสวัสดิการ เช่าบ้าน ซื้อรถ ซื้อบ้าน ต่อใบขับขี่ เปิดกิจการ ออกทีวี สมัครฟิตเนส เลือกตั้ง สารพัดเท่าที่มึงจะคิดได้ หรืออาจจะคิดไม่ถึง

ไม่ มีตัวเลขนี้ มึงทำเหี้ยอะไรไม่ได้ทั้งนั้น นอกจาก ทำงานเก็บเงินไปวัน ๆ และรอวันโดนส่งกลับ ถ้าโชคดี ก็ขนเงินในเกมออกมาแลกเป็นเงินจริงได้เยอะหน่อย

ระบบมันไม่สนว่ามึงจะมีความสามารถขนาดไหน มีความพยายามมากแค่ไหน

ถ้า ไม่มี เลขประกันสังคมจากการเปลี่ยนสถานะพลเมือง มึงไม่มีวันเริ่มต้นเหี้ยอะไรได้เลย วางแผนต่อย่งต่อยอด How to เหี้ยอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเพจสาวกศาสดาคนโง่มันถึงดิ้นกันนักว่ามีคนอิจฉา พยายามโจมตี อิเชฟน้องเหี้ยอะไรนั่น

แม่ง แยก Portland – Oregon -USA ยังไม่ออก เสือกจะมาเถียงคนที่เค้าอยู่มาจนรู้ระบบ…สมควรแม่งเอามาสุม ๆ กองรวมกันแล้วเอาแก๊สรมซะแม่งให้หมด

เอา ล่ะ…… นี่มึงเพิ่งได้สถานะมา มึงยังไม่มีกิจการเลยนะ …. เงินเก็บทั้งหมดของมึงถูกเอาไปเปลี่ยนเป็นสถานะแล้ว ต่อมาถ้ามึงอยากเริ่มกิจการ ตอนนี้เป็นพาร์ทความพยายามของอิเชฟน้องนั่นแล้ว …มึงต้องเรียนรู้อดทนฝึกฝนหาความรู้บลา ๆๆๆๆ (มึงไปหาอ่านเอาใน A DAY)

และ มึงต้องเริ่มเก็บเงินใหม่!!!! ……กิจการที่นี่มีเกิดมีดับกันเป็นรายวัน ด้วยสันดานของคนอเมริกันที่มันชอบให้โอกาสคน …. วันที่มึงเปิดกิจการของมึงวันแรกมันจะแห่กันมาลอง ต่อแถวแดกกันเหมือนมึงแจกมันฟรี…ถ้ามึงเอาพวกมันอยู่…บูม จบเรื่อง มึงรวย มันจะกลับมาใช้บริการมึงทุกวัน ทุก 2-3 วัน ทุกสัปดาห์ …มันจะบอกเพื่อนบ้าน มันจะโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย มันจะรีวิว มันจะโปรโมทร้านให้มึงฟรี ๆ…แต่ถ้ามันไม่ชอบรสอาหารของมึง …มึงจะไม่มีวันได้เห็นหน้ามันอีก

เปิด กิจการที่นี่แม่งเหมือนกับการลงดันเจี้ยนล่าบอส….มึงพลาดโดนบอสตบตายขึ้น มาของที่เก็บหอมรอมริบมาร่วงหมด แม่งโดนลูทอีก ….วิธีลดความเสี่ยงคือ มึงต้องหาปาร์ตี้ไปล่าบอส

ด้วย ราคาตั้งต้น $100,000-$300,000(แล้วแต่ทำเล) สำหรับร้านขนาดเล็ก…ทำให้การเปิดกิจการเดี่ยว ๆ อาจจะดูเสี่ยง ทุกวันนี้ พวกฮูดที่เริ่มมีกิจการเป็นของตัวเองเป็นร้านแรกจึงนิยมใช้การลงหุ้นย่อย ๆ 5-10 หุ้น โโดยหุ้นส่วนทุกคนมาจากสายอาชีพขั้นต้นของฮูด เพราะช่วงเปิดร้านแรก ๆ มึงต้องเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ไว้เผื่อเจ๊ง …มึงยังจ้างลูกจ้างไม่ได้ ..ซึ่งก็ไอ้พวกหุ้นส่วนจากสภาอาชีพนี่แหละที่แม่งจะมาช่วยอุดช่องว่างตรง นี้…….เอาง่าย ๆ หลังจากมึงได้สถานะแลัว มึงยังต้องทำงานอีกประมาณ 2 ปีเพื่อจะมีหุ้น 20% ร้านเล็ก ๆ กลางย่านโสกัง ๆ เพราะนโยบายการกำหนดราคาการ lease ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งความแออัด ประเภทของประชากร ความปลอดภัย…และมึงต้องทำงานโดยไม่มีค่าแรงในร้านตัวเองไปอีกจนกว่าร้านจะ มีกำไรพอที่จะแบ่งมาจุนเจือบรรดาหุ้นส่วน….

และ มึงต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการ – ใบอนุญาตให้ทำธุรกิจร้านอาหาร – ใบรับรองการตรวจสอบจากกรมโยธาของพื้นที่ว่าร้านมึงมีความปลอดภัย – ใบรับรองการตรวจสอบจากสาธารณะสุขในพื้นที่ว่าร้านมึงถูกสุขลักษณะ – ใบรับรองการเสียภาษี ….ใบเหี้ยอะไรอีกนักหนาไม่รู้เป็นปึก ๆ เพื่อจะเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวถ้วยละ $7 …ไอ่สัส…

ถ้า มึงคิดว่าแค่นี้พวกมึงผ่านสบายๆ…..นั่นมันเรื่องราว 3 ปีก่อนหน้า…เพราะสองปีล่าสุดหลังรัฐบาลกลางถังแตก แม่งก็เลยพยายามเก็บภาษีจากทุกๆเส้นทาง และกำหนดนโยบายที่ไม่สนับสนุนให้คนใช้เงินสด(ซึ่งตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ โคตรยาก) และเปลี่ยนมาใช้เงินอิเลคทรอนิคผ่านระบบธนาคารแทน

ก่อน หน้านี้เวลามึงไปกินข้าวตามร้านอาหารไทย มึง จะเห็นป้าย “cash only”…รับแต่เงินสดเท่านั้น…ซึ่งมันมีผลดีต่อพวกฮูดโดยตรง…เพราะเวลา ร้านจ่ายเงินค่าแรง+ทิปให้พวกมึง มึงจะได้เงินสดเต็มๆ และไม่ต้องเสียภาษี. แต่พอรัฐบังคับให้ร้านรับบัตรด้วย ลูกค้ามันก็เลือกที่จะจ่ายบัตรกันอยู่แล้ว เงินสดก็จะหายไปจากระบบบัญชี ซึ่งไอ้ร้านเหี้ยพวกนี้มันก็เลี่ยงภาษีไม่ได้อีกต่อไป

เวลาเราซื้อสินค้าในอเมริกา ราคาที่เราเห็นบนป้ายจะไม่รวม sale tax. ซึ่งเเม่งก็เป็นเหมือน vat เมืองไทย

สมมุติ ราคาบนป้าย $100 แต่เวลามึงหยิบไปจ่ายตังมึงต้องจ่าย $107.25-111.00 แล้วแต่พื้นที่ ซึ่งร้านอาหารไทยใช้วิธีนี้สร้างรายได้พิเศษผ่านป้าย cash only มาตลอดด้วยการไม่รายงานยอดขายตามจริงให้รัฐบาล …ขาย $1500 รายงานแค่ $450 …แต่เวลาคิดตังค์เสือกเก็บ sale tax จากลูกค้าด้วย แต่ไม่ส่งรัฐบาล

หน่วย งาน IRS จึงถูกส่งออกมาเพื่อตรวจสอบเส้นทางเงินในบัญชีของร้านอาหารไทยทุกร้านแบบปู พรมเรียงหน้ากระดาน…มันจะไล่ดูบัญชีมึงทุกบัญชี ถามหาที่มาที่ไปของเงิน ถ้าอธิบายไม่ได้แม่งยึด + ค่าปรับ + ติดคุก….โดนกันจนต้องแจ้งล้มละลายปิดหนีกันไปหลายเจ้า

ทีนี้มันกระทบมาถึงพวกเลเวล 9-36ยังไง…

ร้าน จะไม่สามารถจ่ายเงินค่าแรงให้พวกมึงเป็นเงินสดได้อีกต่อไป เพราะการไปเบิกเงินสดออกมาจากระบบบัญชี IRS มันจะถือว่านั่นเป็นกำไรของร้านทันที. และร้านต้องจ่ายภาษี…เท่ากับว่าหลังจากจ่ายค่าแรงให้มึงแล้วร้านต้องจ่าย ภาษีให้มึงด้วย …. ใครจะทำ!!!

ถ้ามึงจะบอกว่า ‘ก็ให้ร้านบอกไปสิว่าเอามาจ่ายค่าแรง’….จ่ายให้ใครล่ะ…มึงซวยแล้ว…มันจะมาเก็บภาษีจากมึงอีกต่อนี่ล่ะ

จากราย ได้ $200 ต่อวัน มึงจะโดนภาษีเหลือวันละ $140…ผ่านเลขประกันสังคมของหน้าม้า ที่มึงอาจจะหามาเอง. หรือร้านหามาให้…เท่ากับว่ามึงกำลังเสียภาษีให้หน้าม้าไว้เคลมตอนมัน เกษียณ…

เส้นทางสู่เลเวล 99 ของมึงก็จะถูกยืดออกไปอีก

ส่วนIRS หลังมันได้ภาษีจากพวกมึงเเล้วมันก็ลอยตัว ไม่มายุ่งกับสถานะทางพลเมืองของมึง

หลัง จากโดนหน้าม้าประกันสังคม และ IRS หลอกแดกภาษีไปฟรี ๆ 30%ของรายได้แล้วมึงยังต้องสู้กับMonsterและ side quest อีกหลายอย่างที่จะมาชะลอสปีดในการเดินทางไปถึงจุดหมายของมึง…side quest บางอย่างอาจจะดูเสียเวลา และเงินทองในตอนแรก แต่ในระยะยาวอาจจะมีผลดีต่อเนื้อเรื่องหลักของมึง…..”อาจจะ” คือแม่งอาจจะไม่ช่วยอะไรเลย หรือเผลอ ๆ เป็นผลเสียด้วยซ้ำ

ถ้าจะให้กูลองยกตัวอย่าง ก็อย่างเช่น

รถ ยนต์ : รถยนต์เป็นเควสต์ย่อยของสายอาชีพอื่น ๆ ยกเว้น delivery man ที่มันจะกลายเป็นเควสต์หลัก….รถยนต์ที่นี่ถูกสัสเมื่อเทียบราคากับเมือง ไทย แถมยังมีประโยชน์ต่อการส่งตัวมึงเองไปทำงานไกล ๆ ที่พักซึ่งมีรายได้ดีกว่า แต่ก็ต้องจ่ายค่าประกันอีกเดือนละ $50-70 ไม่ว่ามึงจะซื้อรถแบบไหนมาขับ

$1000-3000 มึงอาจจะได้รถตกรุ่นเกิน 10 ปีพอวิ่งได้มาคันนึง พอได้กันลมกันฝน แลกกับค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษาอีกเดือนละ 100-200 แล้วแต่ความกากของรถที่มึงได้มา

$6000-$12,000 มึงอาจได้รถรุ่น 4-5 ปีก่อน ค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า แต่ก็ต้องแลกกับเงินก้อนแรกที่สูงหน่อย

$18,000 – $ 25,000 มึงเอารถใหม่ป้ายเเดงไปเลย …แต่แม่ง เก็บเงินได้ขนาดนี้มึงไปจ้างแต่งดีกว่าไหม

มึงอยากผ่อน เดือนละ 500 แต่มึงผ่อนไม่ได้ ….มึงไม่มีเลขประกันสังคม

ทันที ที่มึงได้รถมา มอนสเตอร์ที่มึงต้องระวังคือ ตำรวจ ….มันจะโผล่มาข้างหลังมึง เปิดสัญญาณให้มึงจอดลงไหล่ทาง…ถ้ามึงไม่จอด มันจะเรียกเพื่อนมาล้อม แล้วกระเเทกรถมึงลงข้างทาง…แล้วตำรวจที่นี่แม่งไม่เหมือนตำรวจไทยที่จะยัด ค่าลิโพ 100 200 แล้วปล่อย…ถ้ามึงโดนเรียก เตรียมไว้เบา ๆ $500

สมมุติ มึงเลือกอาชีพเป็นคนขับรถส่งอาหาร…มึงออกไปเสี่ยงบนถนนวันละ 6-8 ชั่วโมง รัศมีการให้บริการของร้านที่มึงทำงานคือ 3 ไมล์ ในเดือนนึงแม่งจะต้องมีอย่างน้อย 20 วัน ที่มึงต้องหิ้วกล่องออกไปพร้อมกันสองกล่อง ซึ่งโทรมาจากคนละทิศ A—————-B—————C…. มึงต้องวิ่งจาก B ไป A แล้วกลับไป C แล้วกลับมา B เพื่อรอออเดอร์ต่อไป…มึงต้องทำเวลาให้เร็วที่สุด ซึ่งบางทีทำให้ความเร็วที่มึงใช้เกิน speed limit…ตำรวจมันจะโผล่มาเปิดไฟอยู่ข้างหลังมึง ซึ่งแน่นอนว่ามึงต้องจอด และเสีย 500…เดือนนึงมึงโดน 2 รอบก็จบเห่แล้ว…แต่ถ้ามึงขับเนิบ ๆ ตามกฏหมายกำหนด ไอ้ C แม่งก็จะโทรไปด่าที่ร้านว่ามึงช้า แล้วมึงก็จะโดนเจ้าของร้านด่าอีกต่อนึง แถมไม่ได้ทิปจากจุด C เพราะมึงช้าเอง….

เรื่อง อื่น ๆ ก็คือการหาความสุขให้ชีวิตมึง ให้ร่างกายมึงได้พักผ่อนบ้าง ก่อนที่มึงจะกรอบและเครียดจนฆ่าตัวตายเงียบ ๆ แล้วลำบากญาติต้องมาจ่ายค่าส่งศพมึงกลับเมืองไทยซะก่อน

วันหยุดมึงสามารถไปหาอะไรอร่อย ๆ กิน อัฟเฟส ไปดูหนัง อัพเฟส ไปเดินห้าง อัพเฟส ซื้อของเล่นgadget เครื่องดนตรี ที่เวลาอยู่เมืองไทยมึงไม่มีปัญญาซื้อหา อัพเฟส ไปเที่ยวธรรมชาติ อัพเฟส ปั่นจักรยาน อัพเฟส ปีนเขา อัพเฟส โต้คลื่น อัพเฟส เล่นเกม อัพเฟส ตีกะหรี่ อันนี้อย่าอัพนะมึง โดนส่งกลับดื้อ ๆ….

มึง ไปกินเหล้าได้ แต่อย่าไปขับรถกลับบ้านนะมึง ถ้ามึงเมาแล้วขับ โดนแน่ๆ $8,000-$10,000 ถ้าเสือกไปชนคน หรือรถคันอื่นมึงจะโดนตั้งข้อหาพยายามฆ่า ซึ่งไม่เป็นผลดีกับมึงแน่ ๆ แม้ว่าอีกหน่อยมึงจะมีเงินจ้างแต่ง แต่รัฐบาลมีสิทธิ์ปฏิเสธสถานะมึงเพราะถือว่ามึงเป็นบุคคลไม่พึงประสงค์

มึง อาจจะจีบหญิง อ่อยผู้ชาย มีแฟน เพื่อช่วยกันประคับประคอง แชร์ค่าที่พัก แชร์การเดินทาง เก็บเงินด้วยกันจนไปถึงจุดหมายที่มึงทั้งคู่ตั้งกันเอาไว้ …. มึงมาอยู่ที่นี่แล้ว ส่วนใหญ่ฮูดทั้งหลายแม่งก็มีจุดหมายเดียวกันหมดนั่นแหละ

เคารพกฏหมาย ทำตัวโลว์โปรไฟล์เลิกงานกลับบ้านเก็บเงิน อย่าเล่นการพนัน อย่าเผยจุดอ่อน

ฮูด มากมายเป็นหมื่นเป็นพันไปได้จนถึงจุดที่มีกิจการเป็นของตัวเองมีชื่อเสียงใน พื้นที่ เกษียณตัวเองอยู่ที่นี่ หรือกลับไปอยู่เมืองไทย เพื่อนอนรอส่วนแบ่งจากรายได้ของกิจการเดือนละ $2000 $3000 หรือมากกว่านั้น

แต่ก็มีอีกมากกว่านั้นหลายเท่าที่สิ้นเนื้อประดาตัวเพราะยาเสพติด การพนัน ความรัก

ถ้ามึงคิดว่ามึงเข้มแข็งและพร้อมจะทำให้รัศมี 30 feet รอบตัวมึงเป็นบ้านมึง….

เชิญออกเดินทาง

เดี๋ยว ไอ่สัส…ลืม…. ที่แพล่มมาหมดนี่ มึงต้องขอวีซ่าให้ผ่านก่อนนะ …

ยังมีรายละเอียดอีกมาก ตามต่อได้ใน ลิงก์ครับ

Posted in Uncategorized | Leave a comment

สรุปแนวความคิดที่ได้จากงานสัมนา ลงทุนหุ้น..ฟรุ้งฟริ้ง

จาก เฟซ Saran Prohsoontron

ขอขอบคุณอาจารย์ Pornchai Rattananontachaisook และทีมงาน มา ณ ที่นี้ด้วยนะคับ

ทำไมต้องลงทุนในหุ้น?
– เริ่มสังเกตุไหมว่าสมัยนี้คนเล่นหุ้นกันมากขึ้น
– เนื่องจากสื่อต่างๆแสดงให้เห็นคนประสบความสำเร็จกันเยอะ พอเห็นเยอะก็สนใจตลาดหุ้นกันมากขึ้น จำนวนเม็ดเงินที่ไหลมาจากคนที่ไม่เคยเล่นหุ้นมาก่อนมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
– บางคนก็ยังเข้ามาในตลาดหุ้นโดยมองว่าเป็นการพนัน ส่วนหนึ่งมาจากการที่ถูกสอน เนื่องจากราคาที่ผันผวน ทำให้ดูเสี่ยง มีแต่เจ้ามือที่ควบคุมราคาได้
– จริงอยู่ที่ในระยะยาว ตลาดหุ้น ยังผลตอบแทนที่มากที่สุดว่าสินทรัพย์อื่นๆ แต่เนื่องจากมันจะมีบางปีจะให้ผลขาดทุนหนักๆ ตรงนี้ทำให้หลายๆคนอยู่ไม่ได้ ดังนั้นถ้าอยากลงทุนให้ประสบความสำเร็จ ต้องรู้จักตลาดหุ้นให้ดีเสียก่อน

ทำไมต้องสนใจตลาดหุ้น?
– เพราะการที่เก็บออมฝากธนาคารแบบเดิมๆใช้ไม่ได้ผล ดอกเบี้ยสมัยนี้ ฝากเงินไปจนเกษียณ อาจไม่พอกิน หรือต้องอยู่แบบจะใช้จ่ายทีต้องคิดแล้วคิดอีก กิจกรรมทางเลือกต่างๆมีอยู่อย่างจำกัด
– เทียบกับการที่รู้จักตลาดหุ้น และรู้จักวิธีการลงทุนในตลาดหุ้น ด้วยระยะเวลาที่เท่ากัน มันสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าได้ มีเงินมากพอที่จะดำรงชีวิตด้วยความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม
– ถามว่ายากไหม คำตอบคือ เป็นสิ่งที่เรียนรู้ ฝึกฝนกันได้ ไม่ได้ยากเกินไปแต่ก็ไม่ได้ง่ายจนใครๆก็ทำกันได้
– สิ่งสำคัญคือ เหตุผลที่เราให้ความสนใจที่จะทำ เพราะหากไม่มีเหตุผลที่มากพอ เมื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรคหลายๆครั้งเข้า ก็จะทำให้เราล้มเลิกได้ง่ายๆ

แนวการเล่นหุ้น?
– พวกตามข่าว ขอหุ้นเด็ด ซื้อหุ้นปั่น ใช้ไสยศาสตร์ เสี่ยงดวง สังเกตุดูว่ามีใครบ้างที่ประสบความสำเร็จโดยใช้วิธีพวกนี้บ้าง?
– เทียบกับการลงทุนแบบปัจจัยพื้นฐาน มีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จให้เห็นอยู่หลายๆคน แม้ว่าปีไหนที่ตลาดหุ้นตก ก็ยังมีคนที่ใช้แนวทางนี้ลงทุนได้กำไรอยู่ทุกๆปี
– อย่าลืมว่า ช่วงที่ผ่านมาตลาดเป็นขาขึ้น การใช้วิธีการไหนๆก็ได้กำไรกันได้ง่าย (นอกจากเลือกหุ้นจิ้มผิดตัว) ตลาดขาขึ้นมีเซียนเกิดขึ้นกันตรึม ต้องระวัง
– วิธีการลงทุนที่ถูกต้องจริงๆ ควรจะสามารถทำกำไรได้ทุกๆสถานการณ์ มีความยั่งยืน และใช้ได้ผลตลอดไป

ลงทุนในหุ้นให้ประสบความสำเร็จ ต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องก่อน
– นักลงทุนที่ลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน จะมองหุ้นเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ตรงกันข้ามกับนักเก็งกำไร จะมองเป็นแค่ชื่อย่อภาษาอังกฤษ ราคาขึ้นๆลงๆ
– คนส่วนใหญ่มักเข้าใจเรื่องความเสี่ยงผิด หุ้นมีความเสี่ยงจริงจากราคาที่ผันผวน แต่จะยิ่งเสี่ยงมากถ้าลงทุนแบบไม่มีความรู้เลย การมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นจะช่วยให้ความเสี่ยงมีน้อยลง

เรียนรู้เรื่องหุ้น
– มันแปลกตรงที่ ถ้าให้คน 7 คนสอนเรื่องการลงทุน อาจจะได้รับคำแนะนำที่ไปคนละทิศละทาง จนไม่รู้ว่าจะเลือกไปทางไหน ไม่เหมือนการเรียนหลักวิชาการทั่วๆไปที่สอนเหมือนๆกันหมด
– การลงทุนให้หุ้นจึงมีความเป็นศิลปะ ไม่มีหลักการอะไรที่ตายตัวชัดเจน
– เนื่องจากเราลงทุนในหุ้นเป็นรายตัวไม่ได้ลงทุนซื้อหุ้นทุกตัวในตลาด ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องสนใจดัชนีตลาด หัวใจหลักจริงๆคือต้องพยายามเลือกลงทุนหุ้นให้ถูกตัวมากกว่า
– หุ้นในระยะสั้นราคาจะผันผวนมาก แต่ในระยะยาว ราคาหุ้น จะขึ้นอยู่กับ ผลกำไร ของบริษัท

ก่อนจะรู้จักตลาดหุ้น ต้องรู้จักตัวเองก่อน ว่าเป็นนักลงทุนเชิงรับหรือเชิงรุก
– นักลงทุนเชิงรับ จะรู้ตัวเองว่าไม่ได้บ้าหุ้นมากนัก มองว่าเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งของการออมเงินเพื่ออนาคต ไม่รู้จักการประเมินมูลค่าหุ้น ดังนั้นลักษณะการลงทุนควรเป็น
– ลงทุนในกองทุนรวม และควรซื้อกองทุนแบบที่อิงดัชนี มีค่าคอมฯต่ำ
– ลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ มีชื่อเสียง มีแนวโน้มเติบโต
– กระจายไปหลายๆ อุตสาหกรรม
– ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ซื้อถัวเฉลี่ยไปเรื่อยๆ แบบ DCA
– นักลงทุนเชิงรุก มีความบ้าหุ้น ทุ่มเทความพยายามและเวลา เพื่อสร้างผลตอบแทน มีความตั้งใจที่จะลงทุนเพื่อเปลี่ยนชีวิต
– ลงทุนตามความรู้ความเข้าใจที่มี
– ลงทุนได้หลากหลายกว่า
– ปัญหาหลักที่ลงทุนแล้วผิดพลาดคือ เป็นแค่นักลงทุนเชิงรับ แต่ใช้วิธีการเชิงรุก หรือไปเก็งกำไรแล้วคิดว่าเป็นการลงทุนอยู่ (เก็งผิดแต่ไม่ยอมตัดขาดทุน)

ประเด็นที่จะทำให้เลือกซื้อหุ้นถูกขายแพงได้ ต้องรู้จักวิธีการดูมูลค่า
– มูลค่าของธุรกิจจะมีตัวแปร 3 ตัวที่ต้องนำมาคิด
– กระแสเงินสดที่ธุรกิจสร้างได้
– การเติบโตของกระแสเงินสดในแต่ละปี
– อัตราที่ใช้ในการคิดลด
– ดังนั้นต้องอาศัยการดูงบการเงิน การคาดการณ์ผู้บริหาร แนวโน้มของธุรกิจ เพื่อนำมาใช้พิจารณาตัวแปร 3 ตัวที่เรานำมาใช้ในการประเมินมูลค่า และนำมาเปรียบเทียบกับราคาในตลาดเพื่อดูว่าราคาถูกหรือแพง
– หลักการลงทุนจึงมีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ การที่จะประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว ต้องอาศัยการศึกษาหาข้อมูล หลักการและประสบการณ์ เรียนรู้จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ
– คนที่เป็นมือใหม่ จึงดูเป็นเรื่องยาก ต้องอาศัยการเรียนรู้ในช่วงเริ่มต้นค่อนข้างมาก ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่าย ต้องใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์

การวิเคราะห์อุตสาหกรรมและบริษัท
– เริ่มจากการวิเคราะห์ด้วย 5Forces Model
– บริษัทไหนที่สร้าง (value) ให้กับตัวธุรกิจได้มากที่สุด จะได้รับส่วนแบ่งกำไรมากที่สุดในระบบไป (เป็นคนสำคัญเพียงคนเดียวของใครหลายๆคน ^^)
– การที่ตลาดโต ไม่ได้หมายความว่าอุตสาหกรรมกลุ่มนั้นจะดีเสมอไป มูลค่าของบริษัทดีหรือไม่ดีส่วนใหญ่จะขึ้นกับลักษณะเชิงโครงสร้างของ อุตสาหกรรมนั้นมากกว่า
– Key หลัก ที่ช่วยในการศึกษาธุรกิจหรือวิเคราะห์ผู้บริหาร สังเกตได้จากการอ่านงบการเงิน มีการเปิดเผยข้อมูลชัดเจนมากน้อยแค่ไหน คำอธิบายผลประกอบการณ์บอกได้ละเอียดพอหรือไม่

ในส่วนถัดไปจะเป็นการอ่านและวิเคราะงบการเงิน การประเมินมูลค่า ลักษณะของหุ้นแต่ละประเภท ตรงนี้ไม่รู้ว่าจะสรุปยังไงดี เลยขอแนะนำให้ไปซื้อหนังสือแปลของอาจารย์ ตามนี้ได้เลยคับ ดีหมดทุกเล่ม ^^

Posted in Uncategorized | Leave a comment