ที่มา เฟซ อาจารย์
รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล
เห็นมีบางท่านออกมาพูดจารึกหลักที่ 1 และมีคนตอบกลับไปว่าใช่หรือไม่ แต่ที่ตอบกลับไปนั้นเหมือนเอาคนบ้ามาโชว์จำอวด ผมจึงขอตอบบ้าง
จารึกหลักที่ 1 ทำในสมัยสุโขทัย(ส่วนหนึ่งของเอกสารประกอบการบรรยาย วิชาสุโขทัยศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์ ม.รามคำแหง)
ใน ปี พ.ศ. 2376 พระองค์ยังทรงสมณเพศ ขณะที่พระองค์เสด็จธุดงค์เมืองสุโขทัย ได้ทรงค้นพบหลักศิลาจารึก ที่คนในสมัยหลังสมมติเรียกว่า ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง หรือที่บางครั้งเรียกว่า จารึกหลักที่ 1 ณ บริเวณเนินปราสาทกลางเมืองสุโขทัย ปัจจุบันศิลาจารึกหลักดังกล่าวจัดแสดงอยู่ที่พระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงอ่านศิลาจารึกหลักนี้เพียงบางส่วน และต่อมาก็มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตหลายท่านได้อ่านต่อมา แต่อย่างไรก็ตามคำอ่านศิลาจารึกที่สมบูรณ์ได้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือประชุมศิลาจารึกภาคที่ 1 เมื่อ ปี พ.ศ. 2467
ต่อมาคงจะเป็นด้วยความก้าวหน้าเรื่องระบบแนวความคิด จึงทำให้ รศ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ ได้นำเสนอแนวความคิดว่า จารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักนี้ ไม่ใช่จารึกสมัยสุโขทัย หากแต่เป็นพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4
ในประเด็นนี้จริงๆ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่อย่างไรก็ตามต้องออกมาสรรเสริญ รศ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ ที่พยายามค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อมาพิสูจน์แนวความคิดของตนเอง เพราะรู้สึกว่า นักวิชาการทั้งหลายที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของ รศ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ ก็ไม่เคยมีใครที่จะมีค้นคว้าสืบหาหลักฐานได้เท่ากับของ รศ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ แต่ประการใด บางคนที่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ใช่ว่าจะเกิดการไตร่ตรองหรือศรัทธาในตัว รศ ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ หากแต่กลัวว่าตนเองคิดแบบเดิมจะเป็นคนล้าสมัย หรือไม่ก็เพราะต้องการประจบผู้ใหญ่
เรื่องที่ รศ. ดร. พิริยะ ไกรฤกษ์ เสนอไว้ ท่านผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ในหนังสือ จารึกพ่อขุนรามคำแหง : การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ศิลปะ
หากแต่ในความเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียนกลับมองในประเด็นนี้ว่า
1. ในครั้งที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงพบจารึกหลักนี้ พระองค์ทรงพบพร้อมกับศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ของพระมหาธรรมราชาพญาลิไท ถ้าเกิดพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เนื้อความศิลาจารึกหลักนี้จริง เหตุใดเนื้อความที่ปรากฏในศิลาจารึกจึงไม่ข้อความใดที่ขัดแย้งกับเนื้อหาศิลาจารึกสุโขทัยหลักอื่น เช่นกรณีการปรากฏพระนาม พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และ เรื่อง พ่อขุนรามคำแหง เสวยราชย์ต่อจากพ่อขุนบานเมือง ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงได้ข้อมูลนี้มาได้อย่างไร ทั้งนี้เพราะข้อมูลเอกสารในสมัยของพระองค์ ไม่เอกสารชิ้นใดกล่าวถึงพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เลย และคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ก็กล่าวว่าพญารามราชเสวยราชย์ก่อนพญาบานเมือง
หากแต่ลำดับกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงในจารึกหลักที่ 1 กลับสอดคล้องกับ ลำดับกษัตริย์ในจารึกปู่ขุนจิดขุนจอด ซึ่งพบในรัชกาลปัจจุบัน
2. ประเด็นที่กล่าวว่าทำไมจารึกหลักนี้มีกล่าวถึง พ่อขุนรามคำแหงเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ซึ่งดูเหมือนผิดปกติ กว่าจารึกหลักอื่น ในจุดนี้ผู้เขียนกลับมองเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้เพราะจารึกโบราณที่พบในเขตประเทศไทยปัจจุบันก็มีการกล่าวถึงประวัติของผู้สั่งให้ทำจารึก ยกตัวอย่างเช่น จารึกพระเจ้ามเหนทรวรรมัน
ในขณะเดียวกันจารึกที่ร่วมสมัยกับจารึกหลักที่ 1 ก็มีการกล่าวถึงประวัติผู้สั่งให้ทำจารึก เช่น จารึกวัดป่ามะม่วง ของพระมหาธรรมราชาพญาลิไท จารึกวัดพระยืน ของพญากือนา เป็นต้น การกล่าวถึงประวัติผู้สั่งให้ทำจารึกเป็นเรื่องปกติมาก ทั้งนี้เพราะมันเป็นการอ้างสิทธิบางประการ
3. รูปแบบอักษรในศิลาจารึกหลักที่ 1 ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะคือ มีพยัญชนะและสระอยู่ในบรรทัดเดียวกัน ซึ่งดูเหมือนว่าจะผิดระบบอักขรวิธีการเขียนที่ปรากฏในจารึกสุโขทัย อีกทั้งได้มีการโยงสัมพันธ์กับรูปแบบอักษรอริยกะที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงประดิษฐ์ขึ้น
ในเรื่องอักขรวิธีการเขียนนี้ผู้เขียนกลับมองว่า ในจารึกวัดบางสนุก พบที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ เมื่อปี พ.ศ. 2484 ก็มีอักขวิธีและรูปแบบตัวอักษรเหมือนกับในศิลาจารึกหลักที่ 1 และก็เป็นไปไม่ได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเคยทอดพระเนตรจารึกหลักนี้
ประเด็นถัดมาถ้าเรานำรูปแบบอักษรในจารึกหลักที่ 1 มาเปรียบเทียบกับจารึกสมัยพระมหาธรรมพญาลิไท ก็จะพบว่ามีความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการ ครั้นจะบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเคยจารึกเหล่านี้ก็เป็นไปไม่ได้อีก เพราะจารึกสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท พบหลังจากพระองค์เสด็จสวรรคตไปนานแล้ว
อนึ่งรูปแบบอักษรอริยกะที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงประดิษฐ์นั้น ใช้สำหรับการเขียนภาษาบาลีซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีพยัญชนะตัวซ้อนเพื่อให้ทราบว่าตัวใดเป็นตัวสะกด ถ้าจารึกหลักที่ 1 เป็นของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 จริง ทำไมไม่มีระบบพยัญชนะตัวซ้อนในจารึกหลักนี้
4. ภาษาที่ใช้ในจารึกหลักที่ 1 แม้ว่าจะมีการเปรียบเทียบว่าคำบางคำจะเหมือนกับเอกสารในสมัยหลัง เรื่องก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประการใด เพราะเอกสารสมัยอยุธยาบางชิ้นก็มีคำบางคำเหมือนกับเอกสารสมัยรัตนโกสินทร์
อีกทั้งการที่ศัพท์และวลีบางวลีในจารึกหลักที่ 1 เหมือนกับจารึกหลักอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะ จารึกสุโขทัย ยกเว้น แต่ จารึกวัดป่ามะม่วงภาษาเขมร เท่านั้น นอกนั้นพบหลังจากที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 สวรรคตไปแล้ว ถ้าศัพท์และวลีในจารึกหลักที่ 1 ไม่เหมือนกับจารึกหลักใดเลยนี่สิเรื่องแปลก
ถ้าเราจะยืนยันว่าจารึกหลักนี้เป็นของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 จริง ทำไมเราไม่เปรียบเทียบกับพระราชนิพนธ์ของพระองค์ซึ่งยังคงเหลือมาถึงปัจจุบันเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็พบว่าสำนวนภาษาในจารึกกับพระราชนิพนธ์ของพระองค์ไม่มีอะไรที่เหมือนกัน
อนึ่งในศิลาจารึกหลักนี้ ยังมีการใช้ ตัว “ฃ” “ฅ” ซึ่งนักภาษาศาสตร์ได้ตรวจพบว่า คำที่ใช้อักขระ 2 ตัวดังกล่าวเหมือนกับในภาษาไทขาว อันจะสะท้อนให้เห็นว่า ในสมัยนั้นเรายังสามารถแยกเสียง “ข” กับ “ฃ” และ “ค” กับ “ฅ” แต่ในสมัยรัชกาลที่ 4 เราไม่สามารถแยกเสียงของ “ข” กับ “ฃ” และ “ค” กับ “ฅ” ได้แล้ว แล้วรัชกาลที่ 4 ทรงนำข้อมูลนี้จากไหน
5. รูปทรงจารึกรวมถึงวิธีการจารของศิลาจารึกหลักที่ 1 ถ้าทำขึ้นในช่วงพ.ศ. 2375 – 2400 จริง เหตุใดจึงจารึกหลักนี้จึงเป็นหลักศิลา และ เส้นจารที่ใหญ่ ซึ่งผิดกับจารึกวัดพระเชตุพนฯ และวัดราชประดิษฐ์ที่เป็นแผ่นหินและเส้นจารที่เล็ก
6.การที่อ้างว่าเนื้อความบางท่อนในจารึกหลักที่ 1 เหมือนกับเนื้อความในคัมภีร์ทางศาสนา เช่น คัมภีร์โลกบัญญัติ เป็นต้น เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประการใด เพราะคัมภีร์ทางศาสนาที่อ้างนั้นล้วนก็มีอายุเก่ากว่าพ.ศ. 1800
แม้ว่าจะมีการเปรียบเทียบเรื่องพ่อขุนรามคำแหงแขวนกระดิ่งกับเรื่องพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ตั้งกลองพระวินิจฉัยเภรี เรื่องนี้ผู้เขียนก็จะบอกว่า ในคัมภีร์มหาวงศ์พงศาวดารลังกา ก็กล่าวว่าครั้งแผ่นพญาเอฬารทมิฬ การแขวนกระดิ่งให้ประชาชนมาสั่นร้องทุกข์เหมือนกัน
7. มีบางท่านเสนอว่า จากข้อความในบรรทัดที่ 19 – 21 ของด้านที่ 1 กล่าวว่า “เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทางเพื่อนจูงวัวไปค้า ใครจักใคร่ช้างค้า ใครจักใคร่ม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าค้าทองค้า” ว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเปิดการค้าเสรี เพราะผลของสัญญาเบาว์ริงค์
ในประเด็นนี้ผมจะบอกว่าถ้าจารึกหลักนี้ทำในสมัยที่พระองค์ทรงอยู่ในสมณเพศ ครั้งนั้นเรายังผูกขาดทางค้า แล้วพระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าอนาคตข้างหน้า อังกฤษจะมาทำสัญญากับสยามจนต้องมีการค้าเสรี และพระองค์จะทรงทราบได้อย่างไรว่าพระองค์จะได้เสวยราชสมบัติ
ปัญหาเรื่องการผูกขาดการค้าเพราะระบบพระคลังสินค้านั้น เพิ่งจะมีขึ้นในสมัยพระเจ้าอยู่หัวปราสาททองเท่านั้น ที่สำคัญถ้าข้อความดังกล่าวว่าสะท้อนการค้าเสรีจริง แล้วจะวินิจฉัยข้อความในบรรทัดที่ 32 ด้านที่ 2 ของจารึกนครชุม ของพระมหาธรรมราชาพญาลิไท ที่ว่า “ไพร่ฟ้าข้าไทย ขี่เรือไปค้าขี่ม้าไปขาย…….งต้องใจมิได้เพื่อด้วยอำนาจแก่” ว่าเป็นการค้าเสรีด้วยไหม
อนึ่งในมาตราที่ 62 ของพระอัยการผัวเมียก็มีการกล่าวถึงการเดินทางไปค้าขายถึงเชียงใหม่ ไปเมืองจีน ดังนั้นกับแค่จูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขายจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประการใด
8. มีการกล่าวอ้างว่า พระแท่นมนังคศิลาบาตรที่พบพร้อมกับศิลาจารึกหลักที่ 1 มีลวดลายสลักที่ค่อนข้างใหม่ ในประเด็นผมไม่เวลาศึกษาแล้วสรุปว่าลวดลายจะเก่าหรือใหม่ แต่จะถามว่าเมืองสุโขทัยมันก็ไม่ใช่ว่าจะหมดความสำคัญหลังรัชกาลพ่อขุนรามคำแหง ดังนั้นกิจกรรมที่เกิดขึ้นที่เนินปราสาทก็ยังคงมีสืบต่อมา ดังนั้นพระแท่นมนังคศิลาบาตรองค์นี้ก็อาจจะไม่ใช่เป็นของพ่อขุนรามคำแหงก็ได้ ที่สำคัญในจารึกหลักที่ 1 ก็ไม่บอกว่าพระแท่นมนังคศิลาคือ แท่นไหน ใช่แท่นนี้หรือก็ไม่รู้
9. การที่กล่าวว่า พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 แปลจารึกพระราชทาน เบาว์ริงค์ เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่า สยามประเทศมีอารยธรรมที่เก่าแก่ เพื่อไม่ให้ตะวันตกอ้างสิทธิการยึดครอง เรื่องนี้ขอถามย้อนกลับไปว่า ประเทศจีนมีอารยธรรมที่เก่าแก่มาก ตะวันตกก็ไม่เห็นกลัวเกรงอะไร พระเจ้าเสียนฝงฮ่องเต้ยังต้องหนีกองทัพตะวันตก แบบไม่คิดชีวิต อินเดียเก่าแก่ถึงราชวงศ์โมริยะอังกฤษก็ยังยึดครองได้ แล้วจะภาษาอะไรกับจารึกที่บอกว่าสยามประเทศเก่าเพียง 700 ปีเท่านั้น
ที่สำคัญถ้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงพระราชนิพนธ์จารึกหลักนี้จริง ทำไมพระองค์จึงไม่อ่านจารึกหลักให้หมด และเมื่อพระองค์ทรงเล่าพระราชประวัติปฐมวงศ์ของราชวงศ์จักรีว่ามีความสัมพันธ์กับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แล้วทำไมพระองค์จึงไม่ทรงทำจารึกสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือไม่พระองค์ไม่ทำจารึกของพระอุตตรเถระและพระโสณเถระเพื่อให้รับกับข้อพระวินิจฉัยเรื่องพระเจ้าอโศกส่งสมณฑูตมายังดินแดนสยาม
ถ้าทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้ จะมีท่านใดตอบว่า พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นหมดแล้ว และนำหลักฐานไปฝังไว้ เรื่องก็จนใจ ให้ท่านผู้อ่านตัดสินเองเถิด หรือว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเป็นจอมปราชญ์ ถ้าอย่างนั้นก็ควรถวายรางวัลโนเบล ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาประวัติศาสตร์ จารึก ภาษาศาสตร์ แต่พระองค์จะทรงมีเวลาว่างพออย่างนั้นหรือ
ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาก็สุดแล้ววิจารณญาณของท่านผู้อ่านละกัน