ละครคือชีวิต

ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าช่วงนี้จะได้ชีพจรลงเท้า ดูละครเวทีเรื่อยไป
อาทิตย์ก่อนไปดูแฮมเล็ตที่ ซูริค อาทิตย์นี้ไปดู พาร์ซิวัล ที่ไฟร์บวก
เรื่องเเรกแม้จะเป็นของเช็คสเปียร์ แต่ไม่เท่าไหร่ คนสวิสเอามายำซะเละ
จนคนภาษาอ่อนอย่างเราไม่ได้เนื้อหาอรรถรสอะไรเท่าไหร่
แต่มาเรื่องหลัง ที่โรงละคร "มาเรียนบาด" (คมมาก:-) โรงละครสำหรับฝึกหัดเยาวชน
กลับอลังการงานสร้างและสร้างความประทับใจกับเรามาก
สายตา ท่าทาง เสียงพูดสดๆ ของตัวละคร ความงามของบทพูด
เพลงประกอบ ฉาก แสงสปอตไลท์ และ เนื้อเรื่อง
ทั้งหมดล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสด และ ความเป็นกวี
ที่ทั้งหมดได้ถูกแสดงต่อหน้าของเรา ห่างกันไม่เกินสามเมตร
การได้ดูละครเวทีมันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าได้มองผ่านกล้องส่องทางไกล
เข้าไปดู ไปศึกษา ไปหัวเราะ ไปร้องไห้ กับชีวิตเรื่องราวของคนอันซับซ้อน ที่เหมือนจะห่างไกล แต่ก็ใกล้
และชายขอบของแต่ละเรื่องเล่าก็กลับพร่าเลือน ทำให้เรื่องราวต่างๆคละเคล้า กันไป
จะมีที่ไหนที่เราจะเห็นพระอาทิตย์ เต้นรำกับพระจ้นทร์ ในเกมส์โชว์ 
โรงละครสัตว์ที่มีแต่คนตายแสดง ใต้หมู่ดาว
จะได้เห็นการปะปนของวิทยาศาสตร์ สมการเคมี กับศิลปะของแวนโก๊ะ บทกวีของเกอเธ่ ต่อหน้าต่อตา
มันเป็นอะไรที่ข้ามพ้นเหตุผลของเรื่องแห่งความจริงที่เราคุ้นเคย
มันไหลวน เปลี่ยนเวียน เคลื่อนย้าย อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แม้แต่การ์ตูนยังให้ความรู้สึกอันสดใหม่แบบนี้ไม่ได้
ละครเวทีทำให้เราได้เห็นภาพของอะไรที่ปกติไม่เคยเห็นได้ เพราะเรามักติดกับความจริงแบนราบอันน่าเบื่อของชีวิต
สำหรับนักแสดงก็แสดงไป เราก็รู้ว่ามันไม่จริง แต่มันเหมือนกับมีพลังอะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้ไปติดกับสิ่งนั้น
แม้นักแสดงจะดูหน้าตาไม่เข้ากับบท อย่างต้องเล่นเป็นเด็ก แต่หน้าย่นตีนกาเต็ม
หรือ หลายคนต้องเล่นหลายบท ในเรื่องเดียวกัน แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า
เขากลับส่งสารออกมาได้ชัด ว่าเขาคือใคร ทำให้เราเชื่อได้อย่างเต็มใจว่าเขาคือตัวละครนั้นๆ
มันไม่ขึ้นกับรูปลักษณ์ภายนอก อายุ เพศสภาพใดๆ หรือ แม้แต่ เวลา
บางทีเพราะว่าเขาอาจรู้เคล็ดลับที่จะส่งข้อมูลสู่เส้นประสาทกระจกสะท้อนของเราก็เป็นได้ (mirror neuron)
ที่มันช่วยทำให้เราเหมือนได้เป็นเล่นตัวละครนั้น หรือแม้แต่เป็นตัวละครนั้นเอง โดยจำลองคลื่นสมองจากสิ่งที่ดูมาเลย
มันเป็นการส่งผ่านพลังชีวิต ส่งผ่านความรู้ ประสบการณ์ผ่านการแสดงซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ใช่ง่ายๆเลย
และนี่เองที่ทำให้เราได้เห็นความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า "ศิลปะวัฒนธรรม"
มันไม่ใช่แค่ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังหรือของโบราณๆ ตามวัดวา หรือ พิพิธภัณฑ์
แต่มันเป็นกระทั่งของใหม่ ที่ได้รับการสังเคราะห์ออกมาด้วยความตั้งใจ ด้วยจิตวิญญาณ
มันสัมผัสทั้งหัวใจและสมองของผู้คนกระตุ้นให้ผู้คนไม่ตกเป็นทาสของความคิดตายซากและมอบอำนาจให้พวกเขาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆได้
แบบที่คนเยอรมันเขาว่ากันว่า ศิลปะวัฒนธรรมนำความมั่งคั่งบริบูรณ์ทั้งทางวัตถุและจิตใจ (Kultur macht reich: culture make richness)
 
และนี่ก็เป็นการทำให้มองเห็นอะไรที่อยู่นอกเหนือออกไป
ไกลไปในอวกาศอันไกลโพ้น
ไกลจากทางช้างเผือกของเรา
แต่ใกล้แค่หลับตาฝัน
 
นี่เองคือสิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่ในวันนี้
 
ราตรีสวัสดิ์
 
เรื่องย่อ แฮมเล็ต
แฮมเล็ต เจ้าชายแห่งเดนมาร์ก ต้องกลับประเทศกระทันหัน ขณะที่กำลังศึกษาต่ออยู่ที่เยอรมันยี
เหตุเพราะพระบิดาได้ทรงสวรรคต และ พระเจ้าอาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน โดยเซ้งแม่ของแฮมเล็ตต่อไป
แต่พระบิดาไม่ได้ตายดีอย่างสงบ
ชีวิตช่างบัดซบ แฮมเล็ตจึงต้องการหาฆาตกร
ใครคือฆาตกร
แต่แผนการกลับไม่ราบรื่น แฮมเล็ตต้องสังเวยชีวิตคนใกล้ชิดไปอีก
เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ใครคือฆาตกร ใครเป็นใคร ทำอะไรไว้ นั่นเป็นคำถาม
(to be or not to be. It is a question.)
 
เรื่องย่อ พาร์ซิวัล
หนุ่มน้อย ดิบเถื่อน พาร์ซิวัล อาศัยอยู่กับคุณแม่ในป่า คุณแม่ไม่ต้องการให้พาร์ซิวัลได้เจอกับโลกภายนอกเลย
เพราะโลกภายนอกอันโหดร้ายได้พรากสามีอันเป็นที่รักของเธอไป ดังนั้นพาร์ซิวัลจึงไม่เคยเจอคนอื่นเลยนอกจากคุณแม่และสรรพสัตว์ในป่า
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาได้คิดได้ว่าจะไปเป็นอัศวินดั่งคุณพ่อของเขา เขาจึงทิ้งแม่ของเขาไป ปล่อยให้แม่ต้องปวดร้าวทรมานจนตายเพราะการจากลาครั้งนี้
เมื่อมาอยู่ในสังคมเมือง พาร์ซิวัลพูดได้เป็นอย่างเดียวว่า "ฉัน/กู/ข้า คือ พาร์ซิวัล" แต่เขาไม่รู้จักว่าอะไรคือความดี อะไรคือความเลว
และต้องพานพบกับความเจ็บปวด ความสุข ทั้งหมดด้วยตัวของตัวเอง อย่างไร้เดียวสา
เขาต้องไปพบกับสังคมแห่งสิ่งยั่วยุทั้งหลาย เต็มไปด้วย ความถือตัว การทำลาย ที่ทำให้เขาสับสน
เขาจึงต้องการค้นหาความสุข และการปลดปล่อยจากทุกข์ 
การค้นหา จอกศักดิ์สิทธิ์ ในตำนาน เป็นคำตอบที่เขาได้ค้นพบ แต่ระหว่างทางหาความสุขนั้น
เขาต้องกลายเป็นฆาตกร เป็นผู้ทำลาย เป็นผู้ไม่รู้จักความรัก อยู่อย่างหดหู่ ด้วยการฆ่าล้างไปวันๆ
เป็นชีวิตที่แห้งแล้ว เขาปรารถนาการปลอบโยนหัวใจ และ วิญญาณของเขา
แต่ที่ใดจะให้เขาได้นอกจากที่ที่เขาได้รู้จักตัวเอง
This entry was posted in Uncategorized. Bookmark the permalink.

2 Responses to ละครคือชีวิต

  1. Pitaksit says:

    เรียนหนักไปรึป่าว มึงสบายดีนะ มึง.. หรือว่าเที่ยวเยอะไป แฮะๆ

  2. - says:

    เห้ย บรรยายได้อ่านโคตรยากเลยว่ะ

Leave a comment